- โลกของ Kaldheim -
Kaldheim เป็น Plane ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากปกรณัมของ Scandinavia หรือที่เพื่อนๆ อาจจะคุ้นเคยกับคำว่า Norse มากกว่า โดยจะอ้างอิงถึงยุคสมัย Viking ที่อยู่ในช่วงปีค.ศ. 793-1066
โดยเป็นช่วงที่ชาว Viking หรือ Norse มีความรุ่งเรืองในการทำศึกสงคราม และยึดครองเมืองทางตอนเหนือของทวีปยุโรป ด้วยการเดินเรือ และสงครามเป็นหลัก
ดังนั้นแล้ว ดาวอย่าง Kaldheim จึงมีลักษณะของดาวที่มีสภาวะอากาศ, ภูมิประเทศ, วัฒนธรรม รวมถึงความเชื่อ อิงมาจากเรื่องราวของชาว Viking นั่นเอง
Kaldheim เป็นดวงดาวที่อยู่ในจักรวาลของเกม Magic the Gathering
มันเป็นดวงดาวที่มีอุณหภูมิอันหนาวเหน็บ เสมือนตอนเหนือของทวีปยุโรป
ลักษณะทางภูมิประเทศ จะอ้างอิงจากความเชื่อตามปกรณัม และผสมผสานเข้ากับเส้นทางมานา หรือ Leyline
โดยที่ Kaldheim จะแบ่งออกเป็น 10 อาณาจักร (Realms) ที่เชื่อมโยงกันผ่านทางต้นไม้แห่งโลก (World Tree) ซึ่งไม่สามารถเดินทางไปมาได้อย่างใจนึก แต่จะต้องอาศัยพลังของเหล่าเทพ หรือเครื่องมืออื่นๆ เพื่อเดินทางข้ามอาณาจักร
โดยเราสามารถเปรียบเทียบให้ต้นไม้แห่งโลกคือจักรวาลทั้งหมดของ Kaldheim (จะเรียกว่า Cosmos) และมีแต่อาณาจักรเป็นดั่งดอกผลที่ผลิออกมาจากแต่ละกิ่งของมัน
ต้นไม้แห่งโลกนั้น จึงเป็นดั่งจุดกำเนิดของทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างบน Kaldheim
- อาณาจักรแห่ง Kaldheim -
สีของมานาประจำอาณาจักร คือสีขาว - ดำ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของ Starnheim คือบบรรดานางฟ้าที่นี่ จะเดินทางเป็นคู่ โดยจะมีนางฟ้าผู้นำทาง (Shepperd) และนางฟ้าผู้เก็บเกี่ยว (Reaper)
ซึ่งหน้าที่ของแต่ละคู่ จะเป็นไปเพื่อเก็บวิญญาณของนักรบที่คู่ควร เพื่อพาไปยัง Starnheim
โดย Shepperd จะเป็นนางฟ้าที่เชื่อมโยงกับมานาสีขาว ส่วน Reaper จะเป็นนางฟ้าที่เชื่อมโยงกับมานาสีดำ
นอกจากนี้ นางฟ้าของ Starnheim จะไม่นับถือ หรือรับคำสั่งจากเทพแห่ง Kaldheim เนื่องด้วยพวกเธอก่อกำเนิดมาก่อนเหล่าเทพ และการตัดสินใจเข้าร่วมรบ หรือสิ่งอื่นใด จะมาจากภารกิจของเหล่า Valkyries เองเท่านั้น
----------
สีของมานาประจำอาณาจักร คือสีดำ - เขียว
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของ Skemfar คือการแบ่งแยกสายพันธุ์ของเหล่า Elf ที่นี่
โดยเหล่า Elf จะแบ่งเป็นสองสายพันธุ์ นั่นคือ Elf ป่า ที่ผูกพันกับมานาสีเขียว และ Elf เงา ที่ผูกพันกับมานาสีดำ
ทั้งสองสายพันธุ์ต่างรบราฆ่าฟันกันและกัน จนกระทั่ง Harald ราชาของเหล่า Elf ในปัจจุบัน ใด้ใช้บารมีเพื่อรวบรวมเหล่า Elf ทั้งสองได้อีกครั้ง
----------
สีของมานาประจำอาณาจักร คือสีฟ้า - แดง
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของ Surtland คือความแตกต่างของสายพันธุ์ยักษ์ที่นี่
โดยยักษ์นำแข็ง จะเชื่อมโยงกับมานาสีฟ้า พวกมันสามารถใช้เวทย์มนต์น้ำแข็ง, เวทย์ลวงตา รวมถึงอักขระพิเศษ (Rune) กระนั้น พวกยักษ์น้ำแข็งจะเป็นสายพันธุ์ที่หวงพื้นที่ เขาจะปกป้องที่อยู่อาศัยบนยอดเขาสูง และไม่ชอบออกเดินทางไปพื้นที่อื่น มีเพียง Omenseekers บางคนที่สามารถเข้าถึงภายในของวิหารแห่งยักษ์น้ำแข็ง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้กันและกัน
ในขณะที่ยักษ์ไฟ จะกลับกลายเป็นสายพันธุ์ที่พึ่งพาพละกำลังที่มีมาตั้งแต่กำเนิด มากกว่าจะเสียเวลาไปเรียนรู้พลังเวทย์มนต์ แต่ก็ยังคงมียักษ์ไฟบางตนที่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้ เวทย์มนต์ของพวกมันจะเป็นเวทย์แห่งเพลิง และลาวา พวกยักษ์ไฟจะอาศัยอยู่ที่ตีนเขา และชื่นชอบการปะทะกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ แต่ก็จะทำเช่นนั้นเพียงเมื่อเกิดการบุกรุกเท่านั้น
----------
สีของมานาประจำอาณาจักร คือสีฟ้า - ดำ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของ Karfell คือบรรดาผีดิบ และซากศพที่นี่ จะเป็นผีดิบที่เรียกว่า Draugr ซึ่งเป็นผีดิบตามนิทานปรัมปราของ Norse
พวก Draugr จะคงความทรงจำในสมัยที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ และทำให้ผีดิบ Draugr บางตัวสามารถใช้เวทย์มนต์ได้ด้วย พวกมันจึงมีความคล้ายคลึงกับ Lich หรือผีดิบชั้นสูงที่เข้าถึงเวทย์มนต์ได้มากกว่า ไม่เหมือนกับเหล่าผีดิบแบบ Zombie อื่นๆ ที่เป็นเพียงศพเดินได้ไร้สติ และขับเคลื่อนด้วยความต้องการล่าเพื่อกินเท่านั้น
----------
สีของมานาประจำอาณาจักร คือสีเขียว - ฟ้า
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของ Littjara คือบรรดา Shapeshifter ที่นี่ พวกเขาจะปกปิดใบหน้าที่แท้จริงด้วยหน้ากากไม้ และความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างของพวกเขา ยังสามารถแปลงกายให้เป็นสิ่งที่สามารถเคลื่อนผ่านมิติจักรวาล (Cosmos) ได้ด้วย
ซึ่งนั่นทำให้เหล่า Shapeshifter ของ Littjara มักจะออกเดินทางข้ามอาณาจักรทันทีที่พวกเขาพร้อม (มักจะเป็นช่วงเด็ก-วัยรุ่น) พวกเขาจะกลายเป็นสิ่งที่เข้ากับอาณาจักรใหม่ และใช้ชีวิตผจญภัยอยู่ที่นั้น และกลับมาที่ Littjara เมื่อวาระสุดท้าย เพื่อคืนร่างกลับสู่บ้านเกิด ที่บึง Pentaffjord
โดย Shapeshifter ของที่นี่ ยังแบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลักๆ คือ
Gladewalkers - ผู้ที่ชื่นชอบการปลอมแปลงเป็นสิ่งมีชีวิตในป่า เช่นหมี, กวาง หรือกระรอก พวกเขาจะไม่ชอบเปลี่ยนรูปร่างเป็นมนุษย์เท่าใดนัก และพวกเขาจะอาศัยอยู่ตามป่า และเชื่อมโยงกับมานาสีเขียว
Covewalkers - ผู้ที่ชื่นชอบการแปลงกายเป็นสัตว์น้ำ ไม่ว่าจะเป็นแมวน้ำ, ปลาโลมา บางครั้งก็จะเปลี่ยนไปเป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่บริเวณหนองน้ำ เช่นชาวประมง หรือคนตกปลา เป็นต้น พวกเขาจะเชื่อมโยงกับมานาสีฟ้า
----------
สีของมานาประจำอาณาจักร คือสีดำ - แดง
----------
สีของมานาประจำอาณาจักร คือสีแดง - เขียว
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของ Gnottvold คือ Trolls ที่นี่จะมี 2 สายพันธุ์ นั่นคือ Hagi เหล่า Trolls หลังค่อม ขนาดตัวพอๆ กับมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่ถ้ามันยืนตัวตรง จะสูงกว่ามนุษย์ราวๆ 1 เท่าตัว พวกมันนิยมออกล่าเป็นกลุ่ม ผิวสีเขียว และตะปุ่มตะป่ำ พวกมันมีผมสีเข้ม และเขี้ยวยาว พวกมันเชื่อมโยงกับมานาสีแดง
ส่วนสายพันธุ์ Torga จะเป็น Trolls ขี้เซา พวกมันจะใช้เวลาในการนอนยาวนานเป็นปี นั่นทำให้ลักษณะภายนอกของพวกมันแทบจะถูกหลอมรวมกับสภาวะแวดล้อม มันอยู่กันเป็นฝูงเหมือนๆ กับ Trolls สายพันธุ์ Hagi แต่เหล่า Torga จะมีขนาดตัวใหญ่กว่ามาก และสิ่งที่อันตรายที่สุดของ Trolls สายพันธุ์นี้ก็คือ ถ้าหากพวกมันถูกขัดจังหวะการนอน พวกมันจะออกอาละวาดได้เป็นสัปดาห์ๆ จนกระทั่งมันเหนื่อย และหาที่นอนใหม่แทนที่เดิมที่ถูกรบกวน
----------
สีของมานาประจำอาณาจักร คือสีแดง - ขาว
----------
สีของมานาประจำอาณาจักร คือสีเขียว - ขาว
สิ่งที่น่าสนใจมากๆ ของ Bretagard ที่แม้ว่าจะมีมานาของอาณาจักรเป็นสีเขียว - ขาว ก็จริง แต่ชนเผ่าของมนุษย์ภายในอาณาจักร (Clans) กลับแบ่งออกเป็น 5 ชนเผ่า และพวกเขาก็ยึดมั่นหลักปฏิบัติของชนเผ่า (Code of Clans) แตกต่างกันไปตามแต่ละสีของมานา นั่นคือ
Beskir: เหล่านักพรต และนักรบ ผู้ยึดมั่นซึ่งความสงบ และกฏเกณฑ์ ตามหลักการของมานาสีขาว
Omenseekers: เหล่านักเดินเรือที่เก่งที่สุดใน Bretagard ยึดมั่นซึ่งการผจญภัย และการใฝ่รู้ ตามหลักการของมานาสีฟ้า
Skelle: เหล่าจอมโจรปล้มสดมภ์ พวกเขาได้รับพลังอันลึกลับบางอย่าง จนยินยอมที่จะแลกมาด้วยการลบล้างหลักปฏิบัติของเผ่าตนเอง
พวกเขาเป็นชนเผ่าเดียวที่ไม่มีหลักปฏิบัติ และไม่เชื่อในหลักปฏิบัติของชนเผ่าอื่นๆ พวกเขาเชื่อมโยงกับมานาสีดำ
Tusketi: นักรบผู้มองหาความสำราญ การผจญภัยของพวกเขา มีเพื่อความยิ่งใหญ่ระดับตำนาน จนเป็นเรื่องเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น
และดื่มดำกับความสุขแห่งชีวิต ตามหลักการของมานาสีแดง
Kannah: คนจรผู้ต้องสาป พวกเขาถูกสาปจากเทพสมัยเก่า ให้ต้องอยู่กับธรรมชาติแห่งป่า Aldergard ตลอดกาล
จนกว่าจะหาหนทางลบล้างความผิดพลาด เพื่อหลุดพ้นจากคำสาป และกลายเป็นวิญญาณผู้กล้า,
ผู้ควรค่าแห่ง Starnheim และทำให้พวกเขาผูกติดกับมานาสีเขียว
----------
สีของมานาประจำอาณาจักร คือสีขาว - ฟ้า
----------
อย่างไรก็ดี ว่ากันว่า ใน Kaldheim ยังมีอาณาจักรอื่นๆ ที่ยังไม่ปรากฏอีกเช่นกัน
- ทวยเทพแห่ง Kaldheim -
นอกจากเรื่องของอาณาจักรต่างๆ แล้ว สิ่งที่ทำให้ Kaldheim มีความโดดเด่นอีกอย่าง ก็คือเทพเจ้าของดาวนี้ มักจะแฝงกายลงมาปะปนอยู่กับมนุษย์ปุถุชน ทั้งเพื่อคอยดูแล และบ้างก็ลงมาเพียงเพื่อหาความสำราญให้แก่ตนเอง
โดยตามตำนานของ Kaldheim แล้ว เทพเจ้ายุคแรกจะถูกเรียกว่า Einir และพ่ายแพ้ในสงครามให้กับเหล่าเทพยุคใหม่ ที่เรียกว่า Skoti ซึ่งเหล่า Einir นี่เอง ที่กลายไปเป็นชนเผ่า Elf และอาศัยอยู่ที่ Skemfar
และในปัจจุบัน เป็นยุคสมัยของเหล่าเทพ Skoti โดยจะประกอบไปด้วย
Alrund: เทพแห่งจักรวาล: เขาเป็นเทพประจำมานาสีฟ้าของดาว Kaldheim และยังเป็นเทพแห่งปัญญาอีกด้วย
Birgi: เทพีแห่งความโอ้อวด: เธอคือเทพผู้สะสมเรื่องราวต่างๆ และนำมาถ่ายทอดได้อย่างถึงอรรถรส และตรึงผู้ฟังได้อย่างอยู่หมัด
Cosima: เทพีแห่งการเดินทาง: เธอเป็นนักเดินทางข้ามอาณาจักรของ Kaldheim และเป็นเจ้าของเรือที่ Kaya ตัวเอกของเรื่อง ใช้เพื่อผจญภัยระหว่างอาณาจักร
Cosima ยังเป็นที่รู้จักกันในนามของเทพีแห่งท้องทะเล
Egon: เทพแห่งความตาย: เขาเป็นเทพผู้ปกครองอาณาจักร Istfell และเขาเป็นเทพที่อายุมากที่สุดในบรรดาเทพ Skoti แต่อายุของเขา กลับเติบโตแบบย้อนกลับ
ยิ่งเขามีอายุมากขึ้น เขาก็จะมีความเยาว์มากขึ้นไปด้วย ทำให้ลักษณะภายนอกของ Egon จึงเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นเท่านั้น
Esika: เทพีประจำต้นไม้แห่งโลก: เธอคอยดูแลการเดินทางระหว่างอาณาจักร และเป็นผู้นำสารสกัดจาก World Tree หรือต้นไม้แห่งโลก ไปมอบให้แก่เทพองค์อื่นๆ
จนทำให้เหล่าเทพทุกองค์ได้รับพลังระดับจักรวาล
Halvar: เทพสงคราม: เขาเป็นเทพแห่งการรบ ผู้เสียสละ มุ่งมั่น มั่นคง และมีเหตุผล และตามตำนานแล้ว เทพ Halvar คือผู้จบสงครามระหว่าง Einir และ Skoti
และผลของมันคือการแบ่งแยก Elf (อดีตเทพ Einir) ออกเป็นสองสายพันธุ์ จากการใช้อาวุธผ่าจักรวาล
Jorn: เทพแห่งเหมันต์: เขาเป็นเทพผู้มีความสามารถในการตามรอย ล่าสัตว์ เขาสามารถหาเส้นทางที่สั้นและปลอดภัยที่สุด เพื่อเดินทางทั้งใน ระหว่างอาณาจักรของKaldheim
Kolvori: เทพีแห่งวงศ์ตระกูล: เธอเป็นเทพผู้ปกปักษ์รักษาความเป็นไปของสิ่งมีชีวิต และธรรมชาติ
Reidabe: เทพีแห่งการตัดสิน: เธอเป็นเทพีผู้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อความถูกต้อง และเที่ยงธรรม จนบางครั้ง เธอดูเหมือนเป็นเทพีที่หยิ่ง และคลุ้มคลั่งไปกับความยุติธรรมเกินพอดี
Tergrid: เทพีแห่งความพรั่นพรึง: อดีตนักรบผู้ใช้เงามืด และความกลัวเข้าโจมตีศัตรูของเธอ
Toralf: เทพแห่งความเกรี้ยวกราด: เขาเป็นเทพนักผจญภัย ที่มองหาความท้าทายในทุกๆ การเดินทาง และยังเป็นเทพแห่งสายฟ้าอีกด้วย
Valki: เทพแห่งความลวง: เป็นเทพที่ชื่นชอบในการสร้างความวุ่นวายด้วยคำลวง เขาโกหก และสร้างเรื่องแม้แต่กับเหล่าเทพ Skoti ด้วยกัน... เพื่อความต้องการส่วนตัวเท่านั้น
----------
และนี่ก็คือเนื้อหาทั้งหมดของโลกแห่ง Kaldheim ที่พวกเรารวบรวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เพื่อเสริมความเข้าใจในเนื้อเรื่องหลัก ที่บางครั้งอาจจะมีบางจุดที่ไม่ได้เล่าถึงปูมหลังได้อย่างครบถ้วน ทางเราจึงขอยกยอดมาอธิบายที่บทความนี้ทั้งหมด
และขอขอบคุณสำหรับทุกๆ การติดตามเช่นเคยครับ