เนื้อเรื่องในบทความนี้ เราจะเล่าถึงเนื้อเรื่องของการ์ดในชุด Mirrodin Block อันประกอบไปด้วย Mirrodin, Darksteel และ Fifth Dawn

 

แต่ก่อนที่เราจะพาเพื่อนๆ เข้าสู่เรื่องราวทั้งหมดของ Mirrodin เราคงจะต้องเกริ่นถึงความเป็นมา ก่อนที่จะไปถึงเนื้อเรื่องหลักของ Mirrodin กันครับ

 

เรื่องราวทั้งหมดมันมาจากสิ่งประดิษฐ์โลหะทรงกลม... มันถูกค้นพบที่ Urborg ของ Dominaria

มันคือวัตถุทรงพลัง ที่สามารถมอบสิ่งที่ผู้ถือครองปรารถนาให้เกิดเป็นความจริงได้... แต่มันก็มักจะแลกมาด้วยชีวิตของผู้ทำสัญญา...

 

มันคือ Mirari

 

และด้วยความทรงพลังของ Mirari มันจึงผ่านการเปลี่ยนมือผู้ใช้งานอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าเหตุจะมาจากการแลกเปลี่ยนชีวิตกับความปรารถนา การถูกครอบงำจากพลังของ Mirari... หรือการแย่งชิงมันมา

 


Mirari วัตถุทรงพลัง
 

Kamahl หนึ่งในคนเถื่อนจากย่าน Otaria เป็นผู้ที่ยึดครองลูกบอลโลหะนี้เอาไว้ เขามันมาเป็นด้ามดาบของเขา และพลังของมันก็ผลักดันให้เขาทำเรื่องแย่ๆ มากมาย จนสุดท้าย เขาเลือกที่จะละทิ้งมันไว้ที่ป่า Krosa

ที่ๆ เขาเลือกจะใช้ชีวิตใหม่... แต่ก็เป็นไปเช่นนั้นได้ไม่นานนัก... เมื่อ Karona เทพีแห่งความลวง อีกหนึ่งอัตลักษณ์ผู้คาดหวังจะครอบครอง Mirari เริ่มสร้างความวุ่นวายไปทั่ว Dominaria

มันจึงเป็นหน้าที่ของ Kamahl ที่จะต้องจัดการกับ Karona

 

ผลของการปะทะครั้งนั้น คือจุดจบของ Karona และการกำเนิดใหม่ของ Jeska ผู้ที่เป็นหนึ่งในร่างของ Karona

Jeska กลายเป็น Planeswalker พร้อมๆ กับการมาถึงของผู้สร้าง Mirari...

เขาคือ Karn ผู้ที่เป็น Planeswalker จาก Dominaria และเป็น Golem ที่ร่างกายถูกสร้างมาจากเงิน

โดยจุดมุ่งหมายดั้งเดิมในการสร้าง Mirari ขึ้นมาตามที่ที่ Karn วางแผนไว้นั้น Mirari จะเป็นเพียงดาวเทียมสำหรับคอยสอดส่องดูแล Dominaria เท่านั้น

แต่ทว่า เกิดข้อผิดพลาดประการใดไม่ทราบได้ ทำให้มันมีความสามารถมากกว่าเป็นเพียงเครื่องมือสอดส่องดูแลอย่างที่ Karn ตั้งใจเอาไว้

ดังนั้น เมื่อ Karn กลับเข้ามาที่ Dominaria หลังจากจบเรื่องราวอันวุ่นวายทั้งหมด เขาก็เลือกที่จะเก็บเอา Mirari กลับไป เพื่อไม่ให้มันส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอีก

และสถานที่ ที่เขาเลือกจะนำมันไปเก็บก็คือ... Argentum

 

- Argentum ดาวสังเคราะห์แห่งความสมบูรณ์แบบ -

Argentum เป็นดาวสังเคราะห์ที่สร้างจากโลหะ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนดาว ก็ต่างเป็นสิ่งสังเคราะห์ล้วนๆ

มันเป็นดาวที่สร้างขึ้นมาโดย Karn เอง นอกจากมันจะเป็นดาวสังเคราะห์แล้ว มันยังถูกสร้างโดยอ้างอิงด้วยความสมบูรณ์แบบทางหลักคณิตศาสตร์ อันเป็นความปรารถนา และความชำนาญของ Karn

 

นอกจากนี้ Argentum ยังถูกสร้างด้วยการล้อกับรูปแบบของดาว Phyrexia โดยมันถูกสร้างขึ้นมาและแบ่งเป็นระดับชั้นต่างๆ โดย Argentum จะประกอบไปด้วย

  • ชั้นที่ 1 คือชั้นผิวนอก
  • ชั้นที่ 2 คือชั้นผิวภายใน
  • และสุดท้าย ชั้นที่ 3 จะถูกเรียกว่าเตาเผา

 

แม้ว่า Karn จะสามารถสร้างสรรค์ดวงดาวที่สมบูรณ์แบบของเขาขึ้นมาได้ แต่ในเวลานี้เขาต้องยอมให้มีผู้ดูแลดวงดาว Argentum คนใหม่ขึ้นมาแทนที่เขา

เพราะ Karn มองเห็นภารกิจ และหน้าที่ใหม่ที่สำคัญกว่าการเฝ้าดูแลดวงดาวของเขา นั่นก็คือการดูแล Planeswalker หน้าใหม่อย่าง Jeska เพื่อให้เธอเข้าใจ และใช้พลังของเธอไปในทางที่ดี

Karn เลือกที่จะสร้าง Golem ที่พิเศษกว่า Golem ตัวอื่นๆ ที่เขาเคยสร้างมา 

Memnarch คือชื่อของ Golem ตัวนั้น 

Karn สร้างมันขึ้นมาเพื่อปกป้อง และดูแล Argentum ในยามที่เขาไม่อยู่ และ Karn ยังนำเอา Mirari เข้าไปผนวกกับ Memnarch เพื่อเสริมความสามารถให้กับมัน

การรวมร่างเข้ากับ Mirari ก็ทำให้ Memnarch ขยายขอบเขตองค์ความรู้ของมันออกไป จนทำให้ Karn มั่นใจว่า Memnarch จะสามารถดูแล Argentum ได้อย่างสมบูรณ์แบบ... ชนิดที่เรียกว่าถ้า Memnarch จะดูแล Argentum เป็นรองใคร ก็คงมีเพียงตัวของ Karn เองเท่านั้น

 

เมื่อเรื่องราวที่ Argentum เรียบร้อยดีทุกอย่างแล้ว Karn จึงออกเดินทางเพื่อฝึกฝน Jeska ต่อไป

 

และเมื่อ Karn ไม่อยู่ที่ Argentum แล้ว หน้าที่ทั้งหมดจึงตกเป็นของ Memnarch อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้ว่า Memnarch จะสามารถทำหน้าที่ได้ดีขนาดไหน แต่ยิ่งเขาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า...

ดวงดาว Argentum คือความสมบูรณ์แบบสุดโต่ง... มันสมบูรณ์แบบจนเกินกว่าจะอนุญาตให้มีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตใดๆ อาจจะเพราะมันไปขัดกับหลักการออกแบบที่ต้องตรงตามหลักคณิตศาสตร์ตามที่ Karn ต้องการ

 


Memnarch
 

แต่กระนั้น ความรู้สึกเบื่อโลกของ Memnarch ก็ไม่ได้เข้ามารบกวนจิตใจของเขาได้นานนัก

เพราะท้องฟ้าของ Argentum กลับปรากฏสิ่งมีชีวิตอีกอย่าง ที่ไม่ได้เกิดมาจากการสร้างสรรค์ของ Karn

มันเป็นแมลงตัวเล็กๆ ที่เปล่งแสงออกมาราวกับหิ่งห้อย และ Memnarch ก็ตั้งชื่อมันว่า Blinkmoth

 

การปรากฏตัวของ Blinkmoth ทำให้ Memnarch เกิดความคิดใหม่ขึ้นมาแทนที่ความเหนื่อยหน่ายในความว่างเปล่าทันที...

เขามองว่า Golem ตัวอื่นๆ ที่ Karn สร้างขึ้นมานั้น เป็นเพียงเครื่องจักรไร้ชีวิตชีวา การมามีอยู่ของ Blinkmoth มันน่าสนใจกว่าเหล่าหุ่นยนต์ที่ทำวัฏจักรวนเวียนของพวกมันไปวันๆ เป็นไหนๆ

Memnarch คิดได้ดังนั้น เขาก็เริ่มจัดการทำลาย Golem ตัวอื่นๆ ไปเรื่อยๆ และประดิษฐ์เครื่องมือที่มีชื่อว่า Soul Trap เพื่อลักพาตัวสิ่งมีชีวิตจากดาวอื่นๆ มาที่ Argentum เพื่อต่อยอดความหลากหลายทางนิเวศน์ตามที่เขาต้องการ

Memnarch ยังได้เริ่มปรับเปลี่ยนพื้นที่ และรูปแบบต่างๆ ของดาวเพื่อให้มันรองรับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นอกเหนือไปจากเครื่องจักรกลที่ร่อยหรอลงไปทุกวัน

และดาว Argentum ของ Karn ก็เปลี่ยนรูปโฉมไปอย่างสิ้นเชิง... มันกลับกลายไปเป็นดาวดวงใหม่... ชื่อใหม่...

Mirrodin

 

- Mirrodin ดาวแห่งความแตกต่าง -

หนึ่งในภารกิจการปรับปรุงดวงดาวที่ Memnarch ต้องการ คือการสร้างพื้นที่ใหม่สำหรับแต่ละส่วนของพลังงาน หรือเส้นทางมานานั่นเอง

 

โดย Memnarch ได้สร้างเส้นทางปล่องอุโมงค์เชื่อมต่อระหว่างแก่นพลังงานชั้นในของ Mirrodin กับพื้นผิวของดาว ซึ่งจะแบ่งได้เป็น 5 ส่วนดังนี้

 

  • Mephidross:  ดินแดนแห่งมานาสีดำ และมี Ingle เป็นดวงอาทิตย์สีดำประจำเขตแดน ไม่ทราบสถานที่ตั้งของปล่องอุโมงค์ที่เชื่อมกับแกนกลาง 
    Mephidross เป็นพื้นที่ของหนองบึง สารเคมีอันตราย ท้องฟ้าอันอึมครึม และพื้นดินที่ชุ่มน้ำ มี Ish-Sah เป็นเทือกเขาสูงประจำเขตแดน มันจะคอยปล่อยละอองแห่งความตายออกมาเรื่อยๆ 
    ที่นี่มีมนุษย์ชนเผ่า Moriok และผีดิบ Nim เป็นผู้อยู่อาศัย

 

  • The Oxidda Chain: ดินแดนแห่งมานาสีแดง และมี Sky Tyrant เป็นดวงอาทิตย์สีแดงประจำเขตแดน ไม่ทราบสถานที่ตั้งของปล่องอุโมงค์ที่เชื่อมกับแกนกลาง
    Oxidda Chain ได้ชื่อนี้มาจากการที่มันเป็นพื้นที่ของแนวเทือกเขาสูง และยังมีภูเขา Kuldrotha ที่ว่ากันว่า มันเป็นภูเขาไฟที่ทรงพลังที่สุดใน Mirrodin ถึงแม้ว่า ที่แท้จริงแล้ว Kuldrotha มันเป็นภูเขาไฟที่ไม่สามารถปะทุได้แล้ว และภายในเป็นเพียงโรงถลุงเหล็กขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่ภายในปล่องภูเขาไฟอีกที
    ที่นี่มีมนุษย์ชนเผ่า Vulshok และเหล่า Goblin เป็นผู้อยู่อาศัย

 

  • The Quicksilver Sea: ดินแดนแห่งมานาสีฟ้า และมี Eye of Doom เป็นดวงอาทิตย์สีฟ้าประจำเขต มี Pool of Knowledge เป็นสถานที่ตั้งของปล่องอุโมงค์เชื่อมกับแกนกลาง
    Quicksilver Sea เป็นพื้นที่ของท้องทะเลที่สะท้อนแสงสีเงินราวกับทะเลตะกั่ว แม้ว่าจะไม่สามารถระบุได้ว่าแท้จริงแล้ว มันคือโลหะชนิดใดก็ตาม นอกจากท้องทะเลสีเงินแล้ว มันยังประกอบไปด้วยแผ่นโลหะบางๆ ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนเกาะต่างๆ
    ที่นี่มีมนุษย์ชนเผ่า Neurok และ Vedalken อันเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ ผิวหนังสีฟ้า และสูงโปร่ง เป็นผู้อยู่อาศัย

 

  • The Razor Fields: ดินแดนแห่งมานาสีขาว และมี Bringer เป็นดวงอาทิตย์สีขาวประจำเขตแดน มี Cave of Light เป็นสถานที่ตั้งของปล่องอุโมงค์เชื่อมกับแกนกลาง
    Razor Fields เป็นท้องทุ่งที่ราบ สามารถมองเห็นเส้นขอบฟ้าได้สุดลูกหูลูกตา มันมีต้นหญ้าสายพันธุ์ Razorgrass ขึ้นอยู่เต็มไปหมด ซึ่งใบของ Razorgrass ถูกสร้างมาจากโลหะ มันจึงมีความคมกริบ และสามารถทำอันตรายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ไม่ระวังตัวได้อย่างง่ายดาย
    ที่นี่มีมนุษย์ชนเผ่า Auriok, Loxodon หรือมนุษย์สายพันธุ์ช้าง และ Leonin หรือมนุษย์สายพันธุ์สิงโต เป็นผู้อยู่อาศัย

 

  • The Tangle: ดินแดนแห่งมานาสีเขียว ไม่มีดวงอาทิตย์ประจำเขตแดน
    Tangle เป็นพื้นที่ของป่ารกทึบ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียว แต่มันไม่ได้มาจากต้นไม้ใบหญ้าแต่อย่างใด สีเขียวของ Tangle มาจากการผุพังของโลหะประเภททองแดง และเชื้อราที่เติบโตในดีในสภาวอากาศของ Tangle
    ที่นี่มีมนุษย์ชนเผ่า Sylvok, Troll และ Elves เป็นผู้อยู่อาศัย

 

กระนั้น เหตุการณ์การลักพาตัวจากดาวดวงอื่นด้วย Soul Trap ของ Memnarch ดำเนินไปหลายปี จนกระทั่งผู้มาเยือนก็ปรับตัวจนเป็นผู้อยู่อาศัย

บ้างก็ริเริ่มลัทธิ, ความเชื่อต่างๆ และด้วยความแตกต่างของพวกเขา บางทีก็ลุกลามไปถึงเรื่องขัดแย้งระหว่างชนเผ่า

ทว่าการมาถึงของสิ่งมีชีวิตชีวะจากดาวอื่นๆ ไม่เพียงแค่จะสร้างความหลากหลายให้กับระบบนิเวศน์ของ Mirrodin เท่านั้น

 

ในตอนนี้มันกำลังเกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้นที่นี่... เมื่อสิ่งมีชีวิตเชิงชีวะบางตัว เริ่มมีร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นเครื่องจักร และในเวลาเดียวกันสิ่งมีชีวิตเชิงเครื่องจักร ก็กลับได้รับผิวหนัง หรืออวัยวะเชิงชีวะเข้ามาเพิ่มเติมในร่างกายของพวกมัน

ความวุ่นวายสุดวิปริตนี้ มันเป็นผลกระทบมาจากละออง Spore ของ Mycosyth ที่อยู่ใจกลางแก่นของดวงดาว Mirrodin มาตั้งแต่ต้น

 

ตัวของ Mycosyth เองเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในแกนกลางของ Mirrodin มันมีลักษณะการสืบพันธุ์แบบเห็ด นั่นคือจะปล่อยละออง Spore ออกไป พวกมันอยู่กันเป็นกลุ่ม และมีรูปร่างคล้ายเสาสูงขึ้นไป

แต่ด้วยเหตุอันใดไม่ทราบได้... ตอนนี้ละออง Spore ของมันกลับเป็นเหตุของการกลายพันธุ์สุดประหลาดครั้งนี้

 


Mycosynth Lattice
 

Memnarch ที่ค้นพบสาเหตุของการกลายพันธุ์ในครั้งนี้ ก็พยายามจะทำลาย Mycosyth ลง

แต่ทว่า ตัวของเขาเองก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของละออง Spore เหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

ความพยายามในการหยุดยั้งการปล่อยละออง Spore ของ Mycosyth เป็นไปอย่างสิ้นหวัง ด้วยความสามารถและกำลังใจของ Memnarch เพียงตนเดียว ย่อมไม่สามารถหยุดยั้งและทำลายมันได้เร็วกว่าการเติบโตของ Mycosyth ที่ตอนนี้ค่อยๆ ลามไปทั้วชั้นแกนกลางของ Mirrodin อย่างเงียบเฉียบและดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยใดๆ

 

ปัญหาที่เกินมือของ Memnarch ค่อยๆ กัดกินจิตใจของเขาไปเรื่อยๆ

ตอนนี้ Memnarch เริ่มมองหาใครสักคนที่เขาไว้ใจ... และก็มีเพียงคนเดียวที่จะช่วยเขาได้... ผู้สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา... จิตใจของเขาคิดถึงก็เพียงแต่ Karn...

ในช่วงเวลาแห่งความสับสน และสิ้นหวังนี้เอง ที่ผลักดันให้ Memnarch ได้ค้นพบประโยชน์ของสิ่งเล็กๆ ที่เคยจุดประกายเขามาก่อน

เขาสังเกตว่าเหล่า Blinkmoth ที่ตายลง มันจะขับของเหลวบางอย่างออกมาด้วย ซึ่งของเหลวเหล่านั้น คือ Lymph หรือ Serum ผลของมันจะช่วยกระตุ้นการตื่นรู้ และทำให้สภาวะจิตใจของเขาทุเลาจากความวุ่นวายของ Mirrodin ได้อย่างชะงัดนัก

ทว่า Memnarch ไม่ได้เป็นคนเดียวที่ใช้ประโยชน์จากมัน

เหล่า Veldaken ที่ The Quicksilver Sea ก็ใช้ Serum ตัวนี้กันอยู่แล้ว

และผลกระทบของ Lymph ยังมีเรื่องของการเสพติด ซึ่งทำให้เหล่า Blinkmoth กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกล่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

แม้ว่า Serum จะช่วยทุเลาความวุ่นวายใจของ Memnarch ได้มากเพียงใดก็ตาม แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นจากละออง Spore ของ Mycosynth ไม่ได้หายไปจากความสบายใจของเขา การกลายพันธุ์ภายใน Mirrodin ไม่ได้หยุดลงดั่งที่ Memnarch ปรารถนา...

Memnarch ต้องเริ่มหาวิธีแก้ปัญหาใหม่เสียแล้ว... และฉับพลัน เขาก็นึกได้ว่าถ้าเขารอความช่วยเหลือจาก Karn ไม่ได้อีกต่อไป

สิ่งงที่เขาทำได้ ก็คือการเดินทางออกตามหา Karn ด้วยตัวเองเสียเลย...

Memnarch เริ่มสร้างเครื่องมือที่ชื่อว่า Panopticon ที่ใช้เพื่อสืบค้นสิ่งมีชีวิตบนดาว Mirrodin ที่มีพลังชีวิตมากพอ และมีความเป็นไปได้ที่จะมี Spark เพื่อกลายเป็น Planeswalker ในอนาคต

และด้วยเป้าหมายใหม่ ที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคย...ตัวเขาจะกลายเป็น Planeswalker, ดวงดาว Mirrodin ก็จะไม่ได้เป็นเพียงดวงดาวที่ Memnarch สร้างเพื่อความหลากหลายอีกต่อไป... มันจะกลายเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดพลัง Spark จาก Planeswalker มาที่ตัวของ Memnarch เอง...

 

- นักรบแห่ง Tangle -

Glissa เป็น Elves สาวที่ใช้ชีวิตตามครรลองทั่วๆ ไป ของชนเผ่า Viridian

แต่เธอเองกลับมีความรู้สึกกระอักกระอ่วน ที่ติดอยู่ในจิตใจของเธอตั้งแต่เธอจำความได้... เธอไม่ใว้ใจพวก Troll อย่างหาสาเหตุไม่ได้

ที่ Tangle นั้น เหล่า Troll ถือว่าเป็นชนเผ่าที่มีความอาวุโส และจะรับหน้าที่ในการดูแล รวมถึงจัดการพิธีกรรมต่างๆ ในอาณาเขต Tangle

หนึ่งในพิธีสำคัญของ Tangle ก็คือพิธีการบรรเทาความเจ็บปวด ซึ่งแท้จริงแล้ว นั่นคือพิธีกรรมการลบความทรงจำเก่าของเหล่าผู้ที่มาถึง Mirrodin

แต่ด้วยความที่ Glissa ไม่ไว้ใจ Troll ตนใดๆ เธอจึงหลีกเลี่ยงที่จะเข้าพิธีเหล่านั้น

และผลของการไม่เข้าพิธีกรรมนั้น ทำให้ Glissa มักจะเห็นภาพแปลกๆ ที่เธอเชื่อวาเป็นภาพหลอน มันจะคอยปรากฏออกมาเป็นระยะๆ แต่สุดท้ายเธอก็สามารถปรับตัว แล้วใช้ชีวิตอยู่กับมันได้

 

จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอถูกลักพาตัวโดย Troll อันเป็นสิ่งมีชีวิตเชิงชีวะ แต่ทว่า Troll ตัวนี้ กลับที่ไม่มีชิ้นส่วนโลหะใดๆ กลายพันธุ์ให้เห็นตามร่างกายของมันเหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ใน Mirrodin ในช่วงยามนี้

หลังจากที่มันพาตัว Glissa มาถึงที่พักของมัน มันก็แนะนำตัวกับ Glissa ว่า เขาคือ Chunt ผู้เป็น Troll ตนแรกแห่ง Mirrodin และเป็นผู้นำชนเผ่า Troll อีกด้วย

ส่วนเหตุที่เขาจำต้องลักพาตัวเธอออกมา ก็เพราะภัยอันตรายบางอย่างที่กำลังจะมาถึง

 

Chunt บอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ของ Mirrodin และหนทางแห่งการแก้ไขปัญหา... โดยเขาเชื่อสุดหัวใจว่าต้องเป็น Glissa เท่านั้น ถึงจะทำมันได้สำเร็จ

Chunt เล่าต่อไปว่า มันเป็นโชคชะตาของ Glissa ที่เธอเลือกจะไม่ยอมเข้าร่วมพิธีลบความจำของเหล่า Troll ซึ่งผลของมัน ก็ทำให้ Glissa ต้องอยู่กับภาพหลอนเหล่านั้น... ภาพหลอนที่แท้จริงแล้ว มันคือภาพจากความทรงจำในอดีต... มันคือความทรงจำของเธอ ว่าที่แท้จริงที่เธอแล้วไม่ได้กำเนิด ณ Mirrodin...

แต่ Chunt ก็จำต้องอธิบายผลของการลักพาตัว Glissa มาในครั้งนี้... การลักพาตัวอาจจะทำให้เธอปลอดภัย แต่มันก็มีโอกาสที่จะต้องแลกกับความสูญเสียครอบครัวของเธอ...

 


Glissa
 

Chunt กล่าวถึง Leveler อันเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บเกี่ยวพลังวิญญาณ ที่ถูกสร้างโดย Memnarch

Leveler มันจะออกล่าเหยื่อตามคำสั่งของ Memnarch ที่ว่ากันว่าเป็นผู้สร้าง Mirrodin แต่มันจะเอาพลังงานจากสิ่งมีชีวิตไปทำอะไร Chunt ก็ไม่อาจทราบได้

Chunt เชื่อว่า ความทรงจำในอดีตที่ไม่ถูกลบเลือนของ Glissa และความสามารถในการต่อสู้ของเธอ ก็น่าจะเพียงพอที่เธอจะกลายเป็นเหยื่อของเครื่องจักรเก็บเกี่ยวเหล่านี้แล้ว

Chunt ยกขวดยาขวดหนึ่งขึ้นมา เพื่อหวังให้ Glissa ได้เข้าถึงสภาวะจิตใจที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ของเธอ... เขาเล่าให้เธอฟัง ว่านี่คือ Serum (หรือ Lymph นั่นเอง) มันเป็นสิ่งที่เหล่า Vedalken จากย่าน The Quicksilver Sea ใช้เพื่อขยายขอบเขตของจิตใจ...

แต่ก็ไม่ทันที่ Glissa จะได้ตัดสินใจ ฉับพลันก็มี Troll อีกตนพุ่งบุกเข้าพังที่พักของ Chunt

การโจมตีด้วยอาวุธของมัน เพียงครั้งแรกก็ทำให้บ้านของ Chunt เสียหายไปอย่างมาก ก่อนที่การโจมตีครั้งต่อไป จะหมายสังหารผู้ที่ขัดขวางเป้าหมายของมัน... Glissa นั่นเอง

Troll ตัวนั้นเล็งมา Glissa ที่ แต่การโจมตีของมันก็ถูก Chunt เอาตัวเข้าขวาง คลื่นพลังจากอาวุธนั้นรุนแรงจนแม้แต่ Troll ที่เป็นสิ่งมีชีวิตแสนจะทนทาน ก็ไม่สามารถรักษาร่างกายตนเองจากบาดแผลฉกรรจ์ขนาดนั้นได้ทัน

ทว่าเป้าหมายของ Troll จอมทำลายล้างตนนั้น มันต้องการเพียงเพื่อจะขโมย Serum สารเสพติดล้ำค่าไปเท่านั้นเอง...

Chunt ที่บาดเจ็บสาหัส เขารู้ว่าเขาคงไม่สามารถส่งต่ออะไรให้กับ Glissa ได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว... เขาบอกความลับสุดท้าย ที่ Troll แก่ๆ ตนนี้จะมีให้ Glissa ฟัง...

 

"Mirrodin... มันกลวง..."

 

แม้ Chunt จะแลกชีวิตเพื่อปกป้อง Glissa แต่ตัวเธอเอง ไม่เคยเชื่อใจ Troll เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เธอจึงเลือกที่จะกลับไปที่บ้านของเธอในคืนนั้น

และเธอก็พบว่า คำเตือนของ Troll แก่เป็นจริง... Leveler เครื่องหนึ่งกำลังทำลายบ้านของเธอไปจนราบคาบ... เศษซากของสิ่งที่เคยเรียกว่าบ้านของเธอ มันแหลกเละจนเชื่อได้ว่า คนในครอบครัวของเธอไม่มีใครรอดชีวิตจากความเสียหายขนาดนั้น

 

ด้วยความโกรธแค้น Glissa เข้าโจมตีเครื่องจักรทันที

แต่ผลของมันกลับกลายเป็นว่า เครื่องมืออย่าง Leveler ที่ถูกสร้างมาเพื่อล่าสังหารโดยเฉพาะ มันทรงพลังกว่าการประเมินด้วยความโกรธแค้นที่บังตาของ Glissa เจ้า Leveler ก็จัดการกับ Glissa ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก...

Glissa ถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ขาของเธอติดอยู่กับใบมีดสับเนื้ออันเขื่องของ Leveler...

เธอพยายามดิ้นรนจากความตายตรงหน้า... ความตระหนก รวมเข้ากับเลือดที่เสียไปจากการต่อสู่ ทำให้เธอไม่สามารถประคองสติของเธอได้อีกต่อไป... ภาพรอบข้างเริ่มมืดลง และเธอก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

.

.

.

ความเจ็บปวดจากบาดแผลกระตุกโสตประสาทของ Glissa ให้สะดุ้ง... มันปลุกให้เธอฟื้นขึ้นมาเพื่อรับความทรมานอีกครั้ง...

เธอสำรวจรอบๆ ตัว ก็พบว่า เธออยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง พร้อม กับ Goblin ที่แต่ งตัวได้ประหลาดมากๆ อีกตนคอยดูแลเธออยู่...

 

- นักประดิษฐ์ดวงซวย -

Goblin ตนนั้น แนะนำตัวเองว่าเขาชื่อ Slobad

Slobad เป็น Goblin ที่เกิดที่ Oxidda Chain หรือแถบเทือกเขาของเขตมานาสีแดงตามปกติ...

ทว่า ในช่วงเวลาที่เขากำเนิดนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่ Eye of Doom หรือดวงอาทิตย์แห่งมานาสีฟ้ากำลังฉายแสง... และตามความเชื่อของ Goblin ที่ Mirrodin นั้น...

 

มันคือความซวย...

 

ซวยแบบอภิมหาซวย Slobad จะเป็นตัวซวยแบบที่เดือดร้อนทั้งตัวเองและคนอื่น... Slobad จะกลายเป็นตัวซวยในระดับที่เรียกได้ว่าแค่ตัวเขาคนเดียว ก็อาจทำให้ Goblin ทั้ง Oxidda Chain สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปเลยก็เป็นได้

และวิธีแก้ความวิปริต ผิดจารีตแบบนี้ ก็คือการสังเวยเหล่า Goblin แรกเกิด ที่ดันดวงซวย ออกมาพร้อมกับการทอแสงของ Eye of Doom โยนเหล่าน้อนๆ ทิ้งไปในเตาเผาแห่ง Kuldotha เพื่อเป็นการขออภัยเทพีแห่งเหล็ก ตามความเชื่อของเหล่า Goblin

กระนั้น ท่ามกลางความดวงซวย ก็ยังคงหลงเหลืออีกสิ่งที่จะหาอะไรมาทดแทนได้... ด้วยความรักจากแม่ของ Slobad เธอเลือกที่จะเอาลูกของเธอไปซ่อน

เธอเลือกที่จะปล่อยให้โชคชะตาดูแลลูกชายของเธอ ดีกว่าที่เธอจะเป็นคนโยนลูกของเธอไปสู่เปลวเพลิงแห่งความตาย...

Slobad น้อยรอดชีวิตจากโชคชะตา และดูเหมือนว่าดวงของเขาจะไม่ซวยอย่างที่ใครคาดหวัง เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ก็มี Goblin อีกตัวมาพบเขาในที่ซ่อนตัว และรับเขาไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม...

แม้เขาจะเติบโตมาในดินแดนแห่งโรงเหล็กแห่งนี้ แต่เขาเองกลับไม่รู้สึกว่า Oxidda Chain เป็นบ้านของเขา...

 


Slobad
 

เมื่อเขาสู่วัยที่พอจะดูแลตัวเองได้ เขาก็เริ่มออกเดินทางไปตามหาที่ๆ เขาสบายใจ... จนกระทั่ง เขาถูกลักพาตัวจากกลุ่มของมนุษย์สิงห์ (Leonin) 

เขากลายเป็นทาสรับใช้ของชาว Razor Fields และต้องทนใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น จนเขาได้เจอ Raksha มนุษย์สิงห์รุ่นราวคราวเดียวกัน

Slobad กลายเป็นคู่ฝึกซ้อมการต่อสู้กับ Raksha และด้วยความที่ทั้งคู่อยู่ในช่วงวัยไล่เลี่ยกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงกลายไปเป็นเพื่อนกัน... 

อย่างไรก็ดีความรู้สึกที่ Slobad มีต่อ Raksha นั้น มันเป็นความรู้สึกที่ชวนอึดอัดต่อตัวเขาเอง... แม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีกับ Raksha และทางมนุษย์สิงห์เอง ก็สามารถเรียก Slobad เป็นเพื่อนได้อย่างเต็มปาก... แต่การที่ Slobad ถูกบังคับให้ใช้ชีวิตแบบทาส แม้เขาจะได้เป็นเพื่อนกับชนเผ่าที่เป็นเจ้านาย มันก็ไม่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด

จนกระทั่ง วันหนึ่งสิ่งประดิษฐ์ของ Slobad เกิดขัดข้อง จนเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง และด้วยความกลัวความผิดในครั้งนั้น Slobad เลือกที่จะหนีออกมาจาก Razor Fields

แต่ความสงบก็อยู่กับเขาได้ไม่นาน เพราะเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันหลังจากที่เขาออกเดินทางร่อนเร่อย่างไร้จุดหมาย ไม่กี่วันหลังจากที่เขาได้ถ้ำแห่งนี้เป็นที่ซุกหัวนอน เขาก็ได้พบกับ Glissa... ที่กำลังติดอยู่กับใบมีดของ Leveler

เขาเลือกที่จะช่วยเธอให้รอดจากอาวุธสังหารของเครื่องจักรเครื่องนั้น... แม้ว่าในตอนนี้เขาทำได้เพียงปฐมพยาบาลเธอเท่านั้น เพราะบาดแผลของ Glissa มันฉกรรจ์เกินกว่าจะรักษาในถ้ำอันว่างเปล่าแห่งนี้

 

และทันทีที่ Glissa ได้สติ Slobad จึงตัดสินใจพาเธอไปหาทางรักษา พาไปหาคนที่เขามั่นใจว่าจะเป็นทางรอดเดียวของเธอในตอนนี้... แม้มันจะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงมากแค่ไหนก็ตาม

 

- สิงห์สีทอง -

Slobad พา Glissa ไปยังวังของมนุษย์สิงห์ ณ ทุ่ง Razor Fields

Slobad เขายอมเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับความผิดเมื่อครั้งก่อนของเขา เพื่อรักษาชีวิตของ Glissa

และแน่นอน ว่าการเดินทางกลับมาที่นี่ เขาก็ต้องกลับไปพบกับ Raksha... เพื่อน และเจ้านายเก่าของเขา...

แต่ทว่า Raksha นั้น ไม่ได้เก็บเอาความผิดพลาดของ Slobad ในอดีตมาให้ตะขิด ตะขวงใจ เขากลับยินดีที่ Slobad กลับมาหาเขาอีกครั้งดังนั้นแล้ว กับการรักษาชีวิตของ Glissa จึงเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ ที่เขาจะทำให้กับเพื่อนเก่าคนนี้ 

ยิ่งผนวกรวมกับตำแหน่งของ Raksha ในตอนนี้ เขาได้ขึ้นเป็นผู้เป็นจ่าฝูง (Kha) ของ Leonin แห่ง Razor Fields การออกคำสั่งให้รักษา Glissa อย่างดีที่สุด ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนืออำนาจที่เขาจะสามารถสั่งการได้ 

และเมื่อ Glissa พ้นขีดอันตรายแล้ว การได้รับรู้เรื่องราวของ Raksha ก็ยิ่งทำให้ทั้งคู่มีความเข้าอกเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น เพราะเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่ Slobad จะกลับมา Raksha พึ่งสูญเสียคนรักไปจากการโจมตีของ Leveler เช่นเดียวกับ Glissa

Glissa ที่ต้องการจะล้างแค้นให้กับครอบครัวของเธอ จึงจับมือเป็นพันธมิตรที่ดีกับ Raksha และตัดสินใจจะร่วมมือกันยุติเรื่องวุ่นวายเหล่านี้เสียที

 

ทั้งสามแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อตามหาเบื้องหลังของการโจมตีโดย Leveler ก่อนที่จะตั้งเป้าหมายในการเดินทางไปที่ดินแดนแห่งความตาย... Mephidross

 

- Golem ผู้ว่างเปล่า -

แต่ในการเดินทางครั้งนี้ ก็มีเพียงแค่ Glissa และ Slobad เท่านั้น เนื่องจาก Raksha ยังต้องดูแลชนเผ่ามนุษย์สิงห์ของเขาในฐานะจ่าฝูง

ทั้ง Glissa และ Slobad ออกเดินทางไปจนถึงเขตชายแดนของ Mephidross ที่ๆ พื้นดินเริ่มเจิ่งนองไปด้วยหนองน้ำ กลิ่นของเศษซากโลหะ และความตายเริ่มล่องลอยอยู่ในอากาศ... ก่อนที่ทั้งคู่จะไปสะดุดตาเข้ากับสิ่งประดิษฐ์ขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง รูปร่างของมันคือ Golem ทั่วๆ ไป... แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทำงานเสียแล้ว... มันไม่มีการขยับเขยื้อน เคลื่อนไหวใดๆ

ทั้งคู่ควรจะปล่อยให้มันยืนผุพังอยู่ตรงนั้นไป แต่ทว่า Slobad กลับตัดสินใจที่จะลองซ่อมแซม Golem ตัวนั้นขึ้นมา... เพราะสำหรับเขา มันก็ดูแปลกๆ ที่มี Golem หลงมาไกลถึง Mephidross ดินแดนที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับพวกเครื่องจักรเท่าใดนัก

ด้วยความอัจฉริยะ และทักษะของ Slobad เขาก็สามารถทำให้เจ้า Golem กลับมาทำงานได้อีกครั้ง...

ทว่า มันกลับไม่หลงเหลือความทรงจำใดๆ นอกจากจะแนะนำตัวเองได้แค่ว่า มันชื่อ Bosh...

ซึ่งตัวของ Bosh ก็ยินดีที่จะร่วมเดินทางไปกับทั้ง Glissa และ Slobad แต่เหตุผลของเขาก็เป็นไปเพื่อตามหาความทรงจำที่หายไปของเขาเท่านั้น

 


Bosh
 

ทั้งสามออกเดินทางลึกเข้าไปในเขต Mephidross

พวกเขาพบกับชนเผ่า Moriok คนหนึ่ง ชายคนนั้นเปิดฉากโจมตีผู้บุกรุกทั้งสามด้วยผีดิบที่เขาควบคุมอยู่ทันที

แต่ทว่าความสามารถของผีดิบพร้อมร่างอันเน่าเปื่อยนั้น ก็ไม่สามารถต่อกรกับความความเก่งกาจของนักรบสาว Glissa ผู้มากฝีมือ... แม้ผลของการต่อสู้จะจบลงด้วยการล้มผีดิบตัวนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมากลับกลายเป็นภาพที่พวกเขาไม่ได้คาดคิด... แทนที่ชายเผ่า Moriok คนนั้นจะโกรธแค้น หรือหนีไป... เขากลับทรุดตัวลงร้องไห้ด้วยความเสียใจ...

ท่ามกลางความงุนงงนั้น Glissa กลับรู้สึกสงสารชายคนนี้ขึ้นมา เธออยากจะขอโทษกับสิ่งที่เธอทำลงไป ชายชาว Moriok ได้อธิบายถึงความยากเข็ญ และความสำคัญของผีดิบตัวที่ Glissa พึ่งจะทำลายไป เขายินดีที่จะรับคำขอโทษของ Glissa แต่มันมาพร้อมกับข้อแลกเปลี่ยน... เขาจะขอติดตามร่วมเดินทางไปกับเธอ... แต่เธอจะต้องช่วยเขาหาซากศพมาทำพิธีสร้างผีดิบตัวใหม่

 

การได้สมาชิกร่วมเดินทางเพิ่มขึ้น ย่อมดีกว่าการผจญภัยด้วยคนกลุ่มเล็กๆ อยู่แล้ว ทีมของ Glissa จึงตกลงตามข้อแลกเปลี่ยนนั้น และพวกเขาก็ออกเดินทางจนมาถึงใจกลางของเขต Mephidross... เทือกเขา Ish-Sah

เมื่อเข้าถึงใจกลางของ Ish-Sah พวกเขาก็ได้พบกับผู้นำสูงสุดของ Mephidross นั่นก็คือ Geth ชาว Moriok และเป็นหมอผีที่เชื่อว่าเขาทรงพลังที่สุด

Geth แสดงความแตกต่าง และทรงพลังตั้งแต่การพบเจอครั้งแรก เพราะเขาเลือกที่จะควบคุม Vampire แทนที่จะเป็นผีดิบเหมือนเหล่าหมอผีคนอื่นๆ

และ Vampire ที่เขาควบคุมอยู่นั้น ตัวของ Geth เองก็เชื่อว่า มันเป็น Vampire เพียงตัวเดียวในโลกแห่ง Mirrodin

แต่ไม่ว่ามันจะเป็น Vampire ที่แข็งแกร่ง หรือแตกต่างจากผีดิบตัวอื่นๆ แค่ไหน มันก็ไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งของ Glissa ได้เช่นเดิม

และความต่างของพลังนั้น ก็ทำให้ Geth จำใจต้องรีบยื่นข้อเสนอ... ในตอนนี้เขายินดีจะแลกข้อมูลใดๆ ก็ตามที่เขาสามารถให้ได้ เพื่อให้ทีมของ Glissa เลิกยุ่งกับเขา และออกไปจาก Mephidross เสียที

ซึ่งข้อมูลที่ Geth ให้มา ก็เป็นเบาะแสที่ส่งให้ทั้งสามต้องออกเดินทางไปยัง Quicksilver Sea ต่อไป แต่ข้อแลกเปลี่ยนนั้น ยังพ่วงมาด้วยการเสียสมาชิกอีกคน นั่นคือหมอผีอีกคนที่พาพวกเขามาถึงท้องพระโรงของ Geth...

เพราะชายผู้นั้น ได้กลายเป็นกบฏไปแล้ว เขาต้องถูกลงโทษจากการตัดสินใจที่เห็นแก่ตัวของเขา ด้วยการยอมทิ้งชีวิตของเขา ไปเป็นแหล่งอาหารเพื่อคืนชีพ Vampire ของ Geth ที่บาดเจ็บสาหัสจากการปะทะกับ Glissa

 

- ทะเลเหล็กไหล -

ทั้งสามเดินทางไปถึง Quicksilver Sea และได้พบกับ Bruenna ผู้เป็นมนุษย์เผ่า Neurok

Bruenna เป็นหญิงสาว ผู้ที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า จะหยุดการปกครองของเหล่า Vedalken... พวกมนุษย์ตัวสีฟ้า ที่มีความฉลาดมากกว่ามนุษย์ทั่วๆ ไป การมาเยือนของ Glissa และผองเพื่อน จะสามารถทำให้ Bruenna ได้รับโอกาสที่จะทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริงขึ้นมา

เธอจึงเสนอตัวเป็นผู้นำทาง และพาให้ทั้งสามเดินทางไปยัง Lumengrid อันเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่บนเกาะโลหะบางเฉียบขนาดใหญ่ มันอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งโลหะเหลว Quicksilver... และมันก็ยังเป็นป้อมปราการ รวมถึงศูนย์กลางการปกครองของเหล่า Vedalken ด้วยเช่นกัน

 

เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึง Lumengrid แล้ว พวกเขาก็ได้พบกับ Pontifex หนึ่งในสมาชิกสภาสูงผู้ปกครองเขต Quicksilver Sea และพ่วงด้วยตำแหน่งนักวิจัยสูงสุดแห่ง Mirrodin

แต่การเจรจราอย่างสันติก็ไม่เกิดขึ้น เมื่อ Bruenna เปิดฉากสร้างความวุ่นวายภายใน Lumengrid ทันที

ก่อนที่ความจริงอันซับซ้อนก็ได้ถูกเปิดเผย... Pontifex นั้น เป็นผู้เคยครอบครอง Donal ผู้เป็นพ่อของ Bruenna ในฐานะนายทาส

เป้าหมายของ Bruenna เอง คือการเข้าถึงตัว Pontifex เพื่อจะสังหารเขา และปลดปล่อยประชาชนชาว Neurok จากระบบค้าทาสนี้เสียที

 

Donal ชายชาว Neurok ทั่วๆ ไป เขาถูกจับ และบังคับให้เป็นทั้งทาส และหนูทดลองของชาว Vedalken

จนกระทั่งชาว Vedalken เกิดอยากรู้ว่าขึ้นมา ว่าถ้าหากมนุษย์ชาว Neurok ดื่ม Lymph (หรือ Serum นั่นเอง) มันจะส่งผลอะไรกับพวกเขาบ้าง...

หนึ่งในหนูทดลองของพวก Vedalken ก็คือ Donal เอง หลังจากนั้น เขายังถูกส่งเข้าสู่ Pool of Knowledge อันเป็นสถานที่เพาะเลี้ยง Blinkmoth ของชาว Vedalken

และสิ่งที่เป็นเงื่อนไขในการเข้าสู่ Pool of Knowledge นั่นคือ ผู้ที่เข้าไป จะต้องผ่านการดื่ม Lymph เสียก่อน... มันช่างเป็นความประจวบเหมาะที่ Donal ได้รับตัวยานั้นไปเรียบร้อยแล้ว การทดลองของชาว Vedalken ทั้งหมดนั้น ก็ส่งผลให้ Donal ก็กลายเป็นชาว Neurok คนแรกๆ ที่ได้รับองค์ความรู้มหาศาลเกินกว่าจินตนาการ...

และความรู้ผนวกกับวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงการรับรู้ของเขาไปตลอดกาล มันทำให้เขามองเห็นนิมิตรว่าชาว Vedalken นั้นคือชนเผ่าที่ชั่วร้าย พวกเขาจะยังคงกดขี่มนุษย์ชาว Neurok อย่างไม่เท่าเทียมต่อไป ถ้าหากชาว Neurok ไม่ลุกขึ้นต่อต้าน

นิมิตรของ Donal ผลักดันให้เขาหลบหนีออกจาก Lumengrid เพื่อไปเริ่มสะสมกองกำลังชาว Neurok ที่ Medev เมืองชายแดนของ Quicksiler Sea เพื่อเริ่มก่อการปฏิวัติ...

แต่ทว่า แผนของเขาก็ยังไม่ทันได้เริ่ม... เมือง Medev กลับถูกถล่มโจมตีโดยเหล่าหุ่นสังเคราะห์ของ Memnarch เสียก่อน... และเสมือนว่าจะมีเพียงแค่ Bruenna ที่สามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้เพียงคนเดียว

 

เธอจึงทำได้เพียงสะสมความเคียดแค้นที่มีต่อชาว Vedalken, ต่อสภาสูง, ต่อนายทาสอย่าง Pontifex และมันจึงเป็นเหตุผลที่เธอจำต้องหลอกใช้พวกของ Glissa ให้พาเธอมายังเป้าหมายสุดท้าย... ที่พ่อของเธอฝากฝังความปรารถนาของเขาเอาไว้

ทว่า... Pontifex และสภาสูงแห่ง Quicksilver Sea ก็ไม่ได้ปกครองตนเองเป็นเอกเทศ พวกเขาเป็นเขตที่ขึ้นตรงต่อ Memnarch... จักรกลนายเหนือหัวผู้ต้องการพลังแห่ง Planeswalker มาเป็นของตนเอง...

 

ซึ่งย้อนกลับไปในช่วงที่เครื่องมือ Panopticon ของ Memnarch เริ่มทำงาน มันตรวจพบ Glissa ผู้ที่มีพลังของ Spark อยู่ในตัว เพียงแต่เธอยังไม่ไปถึงจุดที่พลังนั้นจะเฉิดฉายออกมา และเปลี่ยนให้เธอเป็น Planeswalker ได้

และมันก็ทำให้ Glissa กลายเป็นเป้าหมายของ Memnarch นับตั้งแต่วันนั้น... เจ้าจักรกลเหนือหัวตนนี้นี่เอง ที่เป็นต้นเรื่องจัดการส่งกองทัพเครื่องจักรของมันเข้าโจมตี Glissa และครอบครัวของเธอ...

 

จากความเชื่อมโยงทั้งหมดทั้งมวล การที่ Glissa อยู่ที่ Lumengrid เมื่องพันธมิตรของ Memnarch ในเวลานี้ ก็เหมือนกับเธอเลือกเดินเข้าสู่กับดักด้วยตัวของเธอเอง... และกับกองกำลังชาว Vedalken ทั้งเมือง ทางเลือกของ Glissa และผองเพื่อน ก็มีเพียงการหลบหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่านั้น

ทว่า Glissa ก็พลาดท่า ถูกจับกุมตัวโดย Merek อีกหนึ่งทหารระดับสูงชาว Vedalken แต่ความวุ่นวายก็ตามมาทันที เมื่อ Pontifex กลับเลือกที่จะสังหาร Glissa ให้มันจบเรื่องราววุ่นวาย และแสดงอำนาจของเขา

แต่กับ Merek เอง เขามองว่านี่คือการทรยศต่อนายเหนือหัวอย่าง Memnarch

ทำให้ทั้ง Merek และ Pontifex ต้องปะทะกันเอง... ผลของความวุ่นวายนั้น เปิดโอกาสให้ Glissa ได้โอกาสหนีรอดออกมาได้... ส่วน Merek และ Pontifex ก็พลาดท่า และถูกสังหารโดยกันและกัน

 


ชาว Vedalken
 

ในตอนนี้... ความจริงของดวงดาวก็เริ่มกระจ่างมากขึ้น เมื่อเรื่องราวในวัยเด็กของ Slobad กลับมากระทบความคิดของเขาอีกครั้ง...

“Mirrodin มันกลวง...” เรื่องเล่าจาก Goblin ที่เลี้ยงเขามาในวัยเด็ก

เรื่องเล่าที่เหมือนนิทานหลอกเด็ก เพียงเพื่อให้เหล่า Goblin น้อยเชื่อฟัง ในตอนนี้มันเริ่มมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เพราะมันช่างเป็นความบังเอิญ ที่เรื่องเล่าเหล่านั้น ไปตรงกับเรื่องที่ Chunt ผู้เป็น Troll มากประสบการณ์ได้บอกกับ Glissa ก่อนที่เขาจะลาโลกนี้ไป...

และเมื่อมีชื่อของ Memnarch ผู้ปกครองจากใต้พื้นผิวของ Mirrodin มาเพิ่มอีกเบาะแส...

ทั้งสามจึงเลือกที่จะออกเดินทาง “เข้าสู่” Mirrodin ที่อยู่ภายใน Mirrodin อีกที

 

ทว่า เมื่อพวกเขาเดินทางผ่านทาง Pool of Knowldge ลงไป นอกจากจะพบความจริงที่ว่า Mirrodin มันกลวงจริงๆ

พวกเขายังได้พบกับ Memnarch... จักรกลนายเหนือหัวแห่ง Mirrodin... ผู้ที่ตามหาพลัง Spark ของ Planeswalker... โดยเฉพาะพลังของ Glissa...

ที่ตอนนี้ เธอเดินทางมาถึงรังของมันแล้วความแข็งแกร่งของ Memnarch ทำให้ทั้งสาม ทำได้แค่หนีออกมา

 

ในตอนนี้ Glissa เองก็ได้รู้ความจริงที่หลบซ่อนอยู่อีกข้อแล้ว...

Memnarch คือตัวการของความวุ่นวายทั้งหมดใน Mirrodin และเธอต้องการแก้แค้นให้กับครอบครัวของเธอ... ครอบครัวของผู้สูญเสีย

และเป็นที่แน่นอนแล้วว่า การปะทะกันโดยตรง คงไม่ทำให้แผนของเธอสำเร็จ...

Glissa ล่วงรู้ถึงโบราณวัตถุ ที่มีชื่อว่า Kaldra ที่เป็นวัตุทรงพลัง และมันน่าจะช่วยให้เธอสามารถต่อกรกับ Memnarch ได้ง่ายขึ้น

ทั้ง Glissa, Slobad และ Bosh จึงออกเดินทางตามหาวัตถุโบราณแห่ง Kaldra

การเดินทางของทั้งสามก็ประสบผลสำเร็จ พวกเขารวบรวมวัตถุโบราณแห่ง Kaldra ได้สำเร็จ...

ส่วนตัวของ Bosh เอง ก็ค่อยๆ ได้รับความทรงจำกลับมา จากการเข้าสู่ Pool of Knowledge ในครั้งก่อน

เขาได้ความทรงจำเรื่องที่มาของเขา ที่เขาเชื่อว่า ตนเองถูกสร้างโดย Karn ผู้สร้างดวงดาวแห่งนี้ และเขาต้องหลบหนีการล้างบาง Golem ของ Memnarch ซึ่งส่งผลให้เขาเข้าใกล้เขตของ Mephidross ที่เต็มไปด้วยสารเคมีที่คอยกัดกร่อนโลหะอย่างเขามากเกินไป จนทำให้เขาต้องสูญเสียความทรงจำนั่นเอง 

นอกจากนี้ผลกระทบจาก Mycosynth ก็ปรากฏบนร่างของ Bosh มากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของเขามีผิวหนังมาห่อหุ้มจนดูคล้ายยักษ์มากกว่าเครื่องจักรไปแล้ว

 

 

- การจุติ -

และด้วยวัตถุโบราณแห่ง Kaldra ทั้งสามชิ้น พวกเขาก็พร้อมจะกลับเข้าสู่ใจกลางของ Mirrodin เพื่อจบเรื่องวุ่นวายนี้เสียที

เมื่อวัตถุโบราณแห่ง Kaldra ทั้งดาบ โล่ และหมวกเหล็ก มาอยู่ด้วยกัน ในก็ได้ปรากฏร่างแห่ง Kaldra มันน้อมรับคำสั่งของ Glissa

แต่ทว่า เมื่อได้พบกับ Memnarch จากการปะทะอย่างสูสี ก็กลายเป็นการถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว เมื่อ Memnarch มันสามารถเข้ายึดการควบคุมร่างแห่ง Kaldra ได้

ทั้งสามที่เสียเปรียบอยู่แล้ว ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นไปอีก

พวกเขาทั้งสามพยายามหลบหนีออกมา ซึ่งเวลาเดียวกันเองนั้น เครื่องมือที่ Memnarch ประดิษฐ์เพื่อถ่ายทอดพลัง Spark กลับเกิดรวน และสูญเสียพลังงาน ทำให้มันระเบิดขึ้น

ท่ามกลางความวุ่นวาย Bosh หันหลังกลับเพื่อปะทะกับร่างแห่ง Kaldra เพื่อยื้อเวลาให้เพื่อนๆ ของเขา

กระนั้น ความแข็งแกร่งของร่างแห่ง Kaldra ก็มีมากเกินกว่า Golem ตัวเดียวจะต้านทานได้... Bosh ถูกสังหารลงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ร่างแห่ง Kaldra ยังคงไล่ล่าทั้ง Glissa และ Slobad ต่อไป

Glissa เลือกที่จะจบเรื่องนี้ เธอดึงพลังจากมานาสีเขียวที่เธอผูกพันธ์มากที่สุด แต่ด้วยในจังหวะนั้น เครื่องมือย้าย Spark ของ Memnarch กำลังรวน มันเหนี่ยวนำพลังต่างๆ อยู่ใกล้ๆ เข้ามามากเกินไป

การดึงพลังของ Glissa รวมเข้ากับความสามารถในการดึงพลังอื่นๆ ของเครื่องมือที่กำลังรวนอยู่ ผลของมันทำให้พลังงานจากมานาสีเขียวเอ่อล้นเข้าสู่ระบบ และเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง

 


Artifact แห่ง Kaldra

 

หลังจากแรงระเบิด และเศษซากปรักหักพังของบรรดาเครื่องจักรทั้งหลาย ร่างแห่ง Kaldra ถูกสังหารลงจากการระเบิดครั้งนั้นไปแล้ว

Glissa และ Slobad สามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย... แต่ทว่า แรงระเบิดจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ปล่องที่เชื่อมโยงระหว่างแกนของ Mirrodin กับพื้นผิวของมัน ปล่องหนึ่งที่เคยถูกปิดตาย ได้เปิดออก... ท้องฟ้าเหนือปล่องแห่งนั้น ก็ปรากฏดวงอาทิตย์สีเขียวลอยอยู่...

นี้คือรุ่งอรุณแห่งดวงอาทิตย์ดวงที่ 5 แห่ง Mirrodin...

ปล่องๆ นี้ มันเชื่อมโยงขึ้นไปยัง Tangle และ Glissa ตั้งชื่อมันว่า Lyese ตามชื่อของน้องสาวของเธอ ที่เสียชีวิตไปจากการโจมตีของ Leveler พร้อมๆ กับสมาชิกในครอบครัวของเธอ

 

ทั้ง Glissa และ Slobad เดินทางกลับขึ้นไปยังพื้นผิวของ Mirrodin อีกครั้ง... พวกเขากลับไปยัง Tangle บ้านเกิดของ Glissa อีกครั้ง

แต่แทนที่พวกเขาจะได้รับการต้อนรับอันอบอุ่น... พวกเขากลับถูกเข้าจับกุมแทน

Glissa ถูกจับกุมด้วยข้อหาสังหารสมาชิกในครอบครัว เพราะในวันที่ Leveler เข้าโจมตีนั้น... น้องสาวของเธอ Lyese กลับรอดชีวิตมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ ทำให้ Lyese กลายเป็นพยานปากเอกในเหตุการณ์นั้น

เธอสามารถพูดได้เต็มปาก ว่าผู้ต้องสงสัยมีเพียงคนเดียว... นั่นคือ Glissa เพราะคืนนั้นมีเพียง Glissa ที่ไม่อยู่ที่บ้านเพียงคนเดียว...

กระนั้น การสอบสวนของเธอยังไม่ทันจะได้เริ่ม หมู่บ้านของเธอก็ถูก Leveler เข้าโจมตีอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้ข้อสงสัยของเธอตกไปทันที...

แต่มันก็มาพร้อมกับปัญหาใหม่... การที่ Leveler ยังคงทำงานอยู่ หมายความว่า Memnarch เอง ยังไม่ตายจากการระเบิดครั้งนั้น

Glissa และ Slobad จึงต้องออกรวบรวมพรรคพวก เพื่อสร้างกองทัพที่จะยุติความบ้าคลั่งของ Memnarch ลงให้ได้...

 


Leveler
 

ทางฝั่งของ Memnarch นั้น มันสูญเสียเครื่องมือต่างๆ และแผนการที่วางไว้ก็ไม่เป็นไปตามแผน... มันหมดความอดทนที่จะรอคอยพลังแห่ง Planeswalker แล้ว... มันเลือกที่จะเปิดศึกถล่มโลกเบื้องบนให้พินาศ แล้วค่อยดึงพลังทั้งหมดมาเป็นของมัน

Memnarch ส่งกองกำลังเครื่องจักร และเหล่า Vedalken ทั้งหมดเข้าตามล่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างไร้ความปราณี

 

- ช่วงเวลา -

Glissa และ Slobad รวบรวมกองกำลังได้มากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็เลือกที่จะเดินทางไปยัง Ish-Sah อีกครั้ง เพื่อให้ Geth ร่วมมือกับพวกเขาอีกครั้ง... ทว่า Geth ไม่ได้ปกครองที่นั่นอีกต่อไปแล้ว...

หลังจบการปะทะกันในครั้งก่อน หมอผีผู้ทรยศ ถูกส่งให้ Vampire ของ Geth ดูดเลือกเพื่อยังชีพ และรักษาตัวเอง... กระบวนการที่ไม่ควรจะมีใครรอดชีวิตไปได้... ทว่าหมอผีตนนี้ กลับได้ตัวตนใหม่เป็น Vampire เสียเอง และมันก็จัดการสังหาร Geth ด้วยการบั่นคอของเขาลงนับตั้งแต่วันที่ Glissa เดินจากไป

การกลับมาที่ Ish-Sah อีกครั้งในยามที่ไร้มิตรสหาย พวกเขาจึงตกหลุมพรางเข้าเต็มๆ และทั้งคู่ ก็ถูกจับตัวไปให้กับ Memnarch ตามที่มันปรารถนา

 

Glissa เองถูกขังอยู่ในคุกแห่งกาลเวลา เพื่อรอให้เครื่องมือดึงพลังของ Memnarch พร้อมทำงาน

ส่วน Slobad โชคร้ายกว่านั้นเยอะ... เขาถูกทรมานสารพัด...

ในเมื่อเขาคือ Goblin ผู้เป็นหนึ่งในเรื่องของสิ่งประดิษฐ์ ความจริงข้อนี้ข้อนี้ที่แม้แต่ Memnarch ยังต้องยอมรับ

มันจึงต้องใช้งานทรมานเป็นการบีบให้ Slobad สร้างเครื่องมือสำหรับดูดพลังของทุกๆ สิ่งมีชีวิตใน Mirrodin มาเป็นของมัน...

การดิ้นรนของ Slobad รังแต่จะทำให้เขาทรมานมากขึ้น... แขนขาของเขาถูกทำลาย... จิตใจของเขาไร้ซึ่งความหวัง... ร่างที่ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเตาปฏิกรณ์ และสมองถูกเชื่อมโยงเข้ากับเหล่าจักรกลแทนแขนขาของเขาที่ไม่สามารถใช้งานได้...

ตอนนี้ Slobad เองก็ไม่ต่างจากเครื่องมือของ Memnarch อีกต่อไป...

 


Memnarch และ Soul Trap
 

จนระยะเวลาผ่านไป 5 ปี Glissa ออกมาจากที่คุมขังได้... Mirrodin ที่เธอคุ้นเคยเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว

พื้นผิวของดาวเต็มไปด้วยเศษซากจากสงคราม เหล่าพันธมิตรที่เธอเคยตั้งใจจะรวบรวม ได้ล่มสลายไป Slobad ก็หายสาบสูญ

น้องสาวของเธอกลายเป็นผู้รวบรวมพันธมิตรต่อต้าน Memnarch แทนเธอ... แม้ว่าจะเป็นพันธมิตรที่อ่อนแอ แต่มันก็ยังเป็นความหวังให้แก่ชาว Mirrodin ได้อยู่บ้าง

 

แต่ Glissa เอง มองเห็นว่า เธอคงจะรอจังหวะ และโอกาสไม่ไหวอีกต่อไป... เพื่อนของเธอหายสาบสูญไป และเธอเหลือตัวเลือกเพียงทางเดียว...

Glissa รวบรวมพันธมิตรให้มากที่สุด และบุกเข้าโจมตีใจกลางของ Mirrodin ทันที

เมื่อเธอเข้าถึงใจกลางของ Mirrodin ใจกลางของดาวที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มันกลายไปเป็นเครื่องมือที่สร้างเพื่อดึงพลังงานจากทุกสิ่งมีชีวิต ดึงมาเพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้มันทำงานที่เป็นเป้าประสงค์ที่แท้จริง... มันคือเครื่องย้ายพลัง Spark ที่ใช้พลังงานจากสิ่งมีชีวิตเบื้องบนทั้งหมด

ที่ใกล้ๆ กันนั้น Glissa พบร่างของ Slobad ที่บอบช้ำทั้งกายและใจถูกเชื่อมติดอยู่กับเครื่องมือขนาดมหึมา...

ภาพที่ Glissa เห็น ทำให้เธอโกรธทะลุจุดเดือด สติของเธอขาดผึง วิสัยทัศน์ของเธอจดจ่อได้เพียงเป้าหมายของเธอเท่านั้น... ไอ้ Golem บ้าสติหลุด เธอพุ่งเข้าโจมตี Memnarch อย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง

แต่เครื่องมือของ Memnarch ก็พร้อมจะเดินเครื่องแล้ว มันสั่งเปิดเครื่องทันที... ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง Glissa ก็เข้าถึงตัวจักรกลเหนือหัว และเข้าโจมตีจนมันเสียหลัก

ทั้งคู่ถูกแรงปะทะส่งให้เข้าไปในแกนกลางของเครื่องมือย้าย Spark นั้นทันที

เครื่องมือของ Memnarch เริ่มดึงพลังงานจากสิ่งมีชีวิตใน Mirrodin ทันที ผลกระทบของมันทำให้ให้ Soul Trap หยุดทำงานไปด้วย

หลังจากทุกสิ่งมีชีวิตได้กลายไปเป็นเชื้อเพลิงให้เครื่องจักรขนาดยักษ์นี้ได้ทำงานของมันอย่างเต็มกำลัง... พลัง Spark ที่มีอยู่ในตัวของ Glissa ถูกย้ายออกจากร่างของเธอทันที

ทว่า สิ่งที่ตามมา กลับกลายเป็นว่า Spark ของ Glissa ไม่ได้ถูกส่งต่อไปยัง Memnarch

พลังนั้นถูกถ่ายทอดไปยัง Slobad ผู้บอบช้ำ

 

Slobad ผู้ที่กลายเป็นเป้าหมายเดียวของเครื่องมือ เพราะทั้ง Glissa และ Memnarch ติดอยู่ในเครื่องมือส่วนดึงพลัง และกับโลกภายนอก สิ่งมีชีวิตที่จะรอรับพลัง Spark ก็เหลือเพียง Slobad เท่านั้น

พลังที่เอ่อล้นเข้าสู่ร่างของ Slobad... มันรักษาร่างกายที่บอบช้ำของเขาให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง... หรือ... อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ... เขารับรู้ได้ว่า เขามีพลังมากขึ้นกว่าที่เคย...

ก่อนที่เขาจะหันไปพบกับอีกร่างหนึ่ง...

 


Karn ผู้สร้าง Argentum
 

ร่างที่มีขนาดพอๆ กับ Bosh เพื่อนเก่าของเขา... ร่างกายสร้างจากโลหะเงินแวววาว... เขาคือ Karn ผู้สร้าง Argentum... หรือที่ในตอนนี้ มันกลายไปเป็น Mirrodin ไปแล้ว

Karn สามารถกลับเข้าสู่ดาวที่เขาสร้างได้อีกครั้ง ทันทีที่ Memnarch ถูกทำลายด้วยพลังแห่งมานาอันมากมายจากเครื่องมือย้าย Spark และพลังของแกนกลางดวงดาวแห่งนี้

 

Karn เข้ามาถึง Mirrodin ที่ว่างเปล่า... ที่นี่เหลือเพียง Slobad เพียงคนเดียวเท่านั้น... Karn ได้ยื่นข้อเสนอให้ Slobad เข้ามาเป็นศิษย์ของเขา...

ทว่า ความสูญเสียที่ Slobad ได้พบเจอ มันมากเกินกว่าที่เขาจะยินดีกับพลังใหม่...

Glissa สละชีวิตของเธอเพื่อให้เขาได้มีชีวิตต่อ... เธอจบเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดด้วยชีวิตของเธอ... และเหตุผลแค่นั้น ก็เกินพอที่ Slobad ยินดีจะแลกทุกอย่าง... ให้ทุกชีวิตที่สุญเสียไปได้กลับมา... ให้ Glissa เพื่อนรักของเขาได้กลับมาอีกครั้ง

เขาส่งพลัง Spark ของ Glissa กลับไป... ด้วยพลังของ Karn และเครื่องมืออันทรงพลังชิ้นนั้น ช่วยฟื้นคืนชีวิตของเหล่าผู้ที่ถูกดึงพลังชีวิตมาเพื่อสนองความกระหายอำนาจของเครื่องจักรสติหลุดอย่าง Memnarch...

และเพื่อฟื้นคืนชีวิตของ Glissa อีกครั้ง

 

Slobad สูญเสีย Spark ไปอีกครั้ง... แต่ปรารถนาของเขาก็กลายเป็นจริง ทุกชีวิตที่สูญเสียได้ฟื้นคืนกลับมา และเมื่อไม่มี Soul Trap ของ Memnarch คอยเหนี่ยวรั้งเอาไว้ พวกเขาก็ถูกส่งกลับบ้านเกิดที่แท้จริงของพวกเขาอีกครั้ง...

 

หลังจากเรื่องราวทั้งหมดจบลง Karn ก็แต่งตั้งให้ Slobad, Glissa และ Geth ที่ฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง ร่วมกันดูแล Mirrodin ต่อจาก Memnarch... ส่วนร่างของ Memnarch ก็ถูกแยกชิ้นส่วน และ Mirari ก็กลับกลายไปเป็นดาวเทียมที่ช่วย Karn คอยสอดส่อง Mirrodin ต่อไป