- ผู้กอบกู้ที่ทรยศโลก -
หลังจากความเสียหายที่ Memnarch ก่อขึ้นได้จบลงด้วยความตายของมัน
Karn ก็มอบหมายให้ Glissa, Slobad และ Geth คอยดูแล Mirrodin แทนเขา เนื่องจากโลกภายนอกยังคงเต็มไปด้วยปัญหาของ Rift (รอยแยกมิติ) และ Karn เองก็มองว่า นั่นเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการดูแล Mirrodin
การไล่ปิดรอยแยกต่างๆ ของโลกภายนอก ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ทว่าปัญหาภายใน Mirrodin กลับตาลปัตรไปเป็นอีกเรื่อง...
เมื่อทั้ง 3 วีรบุรุษ และวีรสตรีผู้กอบกู้ Mirrodin กลับกลายเป็นตัวร้ายในสายตาของชาว Mirrodin ที่เหลือ...
เพราะทันทีที่ Memnarch ได้ถูกทำลายลงไปพร้อมๆ กับเครื่องมือที่ชื่อว่า Soul Trap
ทำให้ชาว Mirrodin หลายๆ ชีวิต ที่เดิมทีถูกลักพาตัวมาจากดาวอื่นๆ และไม่ได้ถือกำเนิดที่นี่ ถูกส่งกลับไปยังดาวบ้านเกิดของพวกเขาอย่างฉับพลัน
ซึ่งเหล่าผู้สืบทอดเชื้อสาย หรือผู้ที่กำเนิดที่ Mirrodin ที่เหลือ ก็ต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปอย่างกระทันหัน
ประชากรของ Mirrodin ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ก็ไม่ต้องการเหตุผลและคำอธิบายใดๆ
สิ่งที่เกิดขึ้น ถูกมองว่าเป็นความผิดของผู้ดูแลทั้ง 3 ทันที
ทั้ง Glissa, Slobad และ Geth จึงต้องหนีลี้ภัยลงไปอยู่ในชั้นแกนกลางของ Mirrodin
Slobad, Goblin Tinkerer
กระนั้น โชคชะตาก็ไม่เข้าข้าง Slobad เพราะเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะหนีกลับลงไปชั้นแกนกลางของ Mirrodin ด้วยซ้ำ
เหล่า Goblin ที่เหลืออยู่ ณ Oxidda Chain กลายเป็นฝูงสัตว์ที่ไร้ผู้นำ เมื่อเหล่าจ่าฝูงของพวกมันถูกส่งกลับไปที่ดาวบ้านเกิดที่แท้จริง
และบรรดา Goblin ที่ไร้ผู้นำ ก็ต่างโทษทุกๆ ความเสียหายที่เกิดขึ้นไปยัง Slobad...
Slobad ถูกฝูง Goblin ที่กำลังตระหนกตกใจ และไร้การควบคุมเข้าโจมตีจนเสียชีวิต...
ทางด้านของ Geth ก็เช่นกัน เขากลายเป็นหมอผีที่ร่างกายไม่สมประกอบ พลังที่เขาเคยมีก็สูญหายไป เขาไม่สามารถควบคุมผีดิบตนใดได้อีกแล้ว และ Vampire ที่เป็นสมุนตัวเก่าของเขา ก็แพร่พันธุ์ไปพร้อมๆ กับการยึดครองย่าน Mephidross รังเก่าของเขา...
ส่วน Glissa เอง ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย...
โลกของ Mirrodin จึงค่อยๆ กลับมาดำเนินไปตามวิถีที่มันควรจะเป็น... ราวกับว่าความสูญเสีย การทำลายล้าง และผู้กอบกู้ทั้งสามไม่เคยมีอยู่จริงในสารบบของพวกเขา... แต่กระนั้น ก็มีภัยร้ายบางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้าสู่อารยธรรมใหม่ของพวกเขา...
- หนี... และหายสาบสูญ -
ในขณะเดียวกันนั้น ทางด้านของ Karn ผู้สร้าง Mirrodin ที่กำลังง่วนอยู่กับการปิดรอยแยกต่างๆ ที่ Dominaria
แต่มันก็มีอีกหนึ่งปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้... รอยแยกรอยหนึ่ง ไม่สามารถปิดลงได้ด้วยการสังเวยพลัง Spark ของ Planeswalker แฉกเช่นรอยแยกอื่นๆ...
มันเป็นรอยแรกที่มาจากผลของมหาเวทย์ Obliterate โดย Barrin หนึ่งในอาจารย์ของ Tolarian Academy เมื่อ 300 ปีก่อน เพราะในตอนนั้นเขาจำเป็นจะต้องหยุดการรุกรานของ Phyrexian ก่อนที่มันจะเกิดความเสียหายไปมากกว่านั้น... เขาเองเสียสละตนเองเพื่อชะลอการรรุกรานของ Phyrexian ได้สำเร็จ... กระนั้น ผลกระทบในอีก 300 ปีให้หลัง ก็ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเช่นกัน
Jhoira นักประดิษฐ์ และเพื่อนรักของ Karn ได้เรียกเขามาเพื่อพบกับทีมร่วมมือกันปิดรอยแยกที่เธอรวบรวมมา อันประกอบไปด้วย
Teferi จอมเวทย์การเวลา อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนสุดเกรียนของ Karn และ Jhoira ที่ในตอนนี้เขาโตเป็นผู้ใหญ่ และยังได้รับ Spark เป็น Planeswalker ไปแล้วเช่นกัน
Venser เด็กหนุ่มนักประดิษฐ์อัจฉริยะ เครื่องมือชิ้นแรกที่เขาสร้างขึ้นสามารถพาสิ่งมีชีวิตเดินทางข้ามดวงดาวโดยไม่พึ่งพลังของ Planeswalker ที่เขาเรียกมันว่า Ambulators รวมถึงในตัวเขาเอง ก็มี Spark ที่ยังไม่แสดงพลังอยู่ด้วยเช่นกัน
Radha Elf สาวนักรบแห่งเมือง Keld เธอมีพลัง Spark ที่แผงอยู่เช่นเดียวกับ Venser
ซึ่งทางเดียวที่ Jhoira มองว่าจะแก้ไขรอยแยกพิสดารอันนี้ได้ คือต้องย้อนเวลาไปหยุดการใช้มหาเวทย์ของ Barrin ลงซะ...
และ Karn ก็เป็น Golem ที่ถูกสร้างมาเพื่อเดินทางย้อนเวลาอยู่แล้ว... เขาจำเป็นที่จะต้องเดินทางย้อนเวลาไปเพื่อหยุด Barrin
เขาใช้พลังแห่งการเป็น Planeswalker ทั้งหมด ทุ่มเทเพื่อการเดินทางย้อนเวลาไปในอดีต พร้อมๆ กับ Venser ที่จะไปเป็นผู้ช่วยของเขา
และทั้งคู่ก็ทำภารกิจนี้สำเร็จ พวกเขาสามารถปิดรอยแยกก่อนที่ Barrin จะใช้เวทย์อันแสนทรงพลังนั้นไปทำลายรอยแยกให้แย่ลง
ทั้งคู่เดินทางกลับมายัง Dominaria ในช่วงเวลาปัจจุบัน แต่ทว่า... ระหว่างที่อยู่ในช่องว่างระหว่างดวงดาว (Blind Eternities) Karn กลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างในตัวของเขา
เขารีบ Planeswalk อย่างไร้ทิศทาง และเขาคาดหวังให้การเดินทางอย่างยาวนานในนี้ จะช่วยให้สิ่งที่พยายามทำร้ายเขา หยุดไล่ล่าเขาเสียที...
Venser ที่อาศัยเครื่อง Ambulator ของเขา เดินทางกลับมายัง Dominaria ในช่วงเวลาปัจจุบันด้วยตัวคนเดียว
แม้เขาจะคาดหวังว่า Karn จะมารอพบเขาที่นี่ แต่ Karn ก็หายตัวไปเสียแล้ว
Venser กำลังจะแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นกับทีมของเขา ก่อนที่จะโดนขัดจังหวะโดยการมาถึงของ Jeska ลูกศิษย์ของ Karn
Jeska ต้องการจะปิดรอยแยกเช่นเดียวกับ Planeswalker คนอื่นๆ ในจักรวาล และเธอก็ลักพาตัว Radha ไปเป็นเครื่องมือในการปิดรอยแยกในสถานที่ต่างๆ...
จนกระทั่งรอยแยกสุดท้ายที่ Otaria... บ้านเกิดของ Jeska เอง
พลัง Spark ของ Radha ถูก Jeska ใช้เป็นเครื่องมือ ผลกระทบจากการปิดรอยแยกครั้งแล้วครั้งเล่า จนพลัง Spark ของเธอหมดไป...
Jeska รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนั้นดี และเธอรู้ดีว่า ถ้ายังฝืนใช้พลังของ Radha อีกครั้ง
เธอจะกลายเป็นฆาตรกร ไม่ใช่ผู้รักษา...
Jeska ตัดสินใจสละ Spark และชีวิตของตัวเอง จนรอยแยกมิติสุดท้ายปิดลง และทำให้เกิดเหตุการณ์ Great Mending ทันที
[Great Mending หรือ Mending คือเหตุการณ์ที่รอยแยกมิติถูกปิดลงทั้งหมด ผลของมันทำให้ Planeswalker สูญเสียพลังระดับเทพเจ้า หลงเหลือไว้เพียงความสามารถในการเป็นมหาจอมเวทย์ และยังคงเดินทางข้ามดวงดาวได้ นอกจากนี้ เครื่องมือต่างๆ ที่สามารถนำเอาสิ่งมีชีวิตเดินทางข้ามดวงดาวได้ ก็หยุดการทำงานไปทั้งหมดเช่นกัน]
หลังจากรอยแยกทั้งหมดปิดตัวลง Venser ที่ตอนนี้ได้รับ Spark มาจากประสบการณ์ที่เขาได้รับมา เขาจึงมอบเครื่อง Ambulator ที่ไม่สามารถใช้งานได้อีกแล้ว เพราะ Great Mending ให้กับ Jhoira ไว้เป็นที่ระลึก ส่วนตัวเขาก็ออก Planeswalk ต่อไป...
- ห้วงความคิดคำนึง -
เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอสมควร แม้ว่า Venser จะยังง่วนอยู่กับสิ่งประดิษฐ์ที่จะมาแทนที่ Ambulators เครื่องเก่าของเขา แต่ในใจเขากลับถูกรบกวนด้วยความคิดถึง Karn...
แม้จะพบกับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่การพูดคุยระหว่างเขากับ Karn เขาก็ยอมรับนับถือให้ Karn เป็นครูของเขา
และเมื่อประกอบด้วยเรื่องราวที่เขาได้รับรู้ถึงความเป็นหนึ่งในด้านสิ่งประดิษฐ์ของ Karn รวมถึงความสมบูรณ์แบบของเครื่องจักรในแบบฉบับของ Karn
มันอดทำให้เขาคิดไปไม่ได้ว่า ถ้า Karn ยังอยู่ เจ้าสิ่งประดิษฐ์ที่เขากำลังสร้างอยู่ น่าจะสำเร็จได้เร็วกว่านี้... เหมือนสมัยที่ Ambulators สำเร็จได้ด้วยการพบเจอกับ Teferi
ก่อนที่สุดท้าย ความคิดของเขาจะถูกขัดจังหวะโดยแขกผู้มาเยือนสองคน
- ข่าวร้ายที่มาถึง -
หนึ่งในนั้น คือชายผิวเข้ม ร่างกายมีโลหะงอกออกมาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย และร่องรอยคล้ายลาวาเป็นรอยแผลตามตัว
ส่วนอีกคน เป็นหญิงสาวผมเข้มในชุดเกราะสีขาวตัดขอบทอง ใบหน้ามีแผลจากการต่อสู้เล็กน้อย
Venser รู้ได้ทันที ว่าชายคนแรกคือ Koth แห่ง Mirrodin และหญิงสาวอีกคน คือ Elspeth Tirel
เนื่องจากทั้งคู่เป็นผู้ที่พึ่งเข้าร่วมลัทธิ Windgrace แห่ง Urborg
ลัทธิบ้านเกิดของเขา ที่แม้จะไม่ค่อยถูกกัน แต่เขาก็ยังมีการค้าขายแลกเปลี่ยนระหว่างกันและกันอยู่ดี
[ลัทธิ Windgrace หรือกลุ่ม Windgrace Acolyte เป็นกลุ่มของนักรบแห่งย่าน Urborg ในดาว Dominaria พวกเขาสืบทอดเจตนารมณ์แห่งการปกปักษ์รักษาพื้นที่เขต Urborg ต่อเนื่องมาจาก Lord Windgrace อดีต Planeswalker และมนุษย์สิงห์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาเป็นหนึ่งใน 9 Titan ผู้ต่อกรกับ Yawgmoth เมื่อครั้ง Phyrexian บุกดาว และเขายังสละพลัง Spark ของตัวเองเพื่อปิดรอยแยกเหนือ Urborg อีกด้วย]
ทั้งสามพูดคุยกันได้ไม่นาน เพราะทันทีที่นิสัยช่างจ้อของ Venser ทำให้เขาเล่าถึงเครื่องมือเดินทางข้ามดวงดาว Koth ก็เดือดดานขึ้นมาทันที...
- ภัยร้ายแห่ง Mirrodin -
Koth เป็นชายชาว Mirrodin เขาเป็นชนเผ่า Vulshok หรือมนุษย์ผู้อาศัยในย่าน Oxidda Chain
และก่อนที่ Koth จะออกเดินทางมายัง Dominaria ที่ Mirrodin นั้น เริ่มมีสิ่งมีชีวิตลักษณะแปลกประหลาดออกล่าเหล่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
พวกมันดูคล้ายกับซากของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ บนผิวดาว ที่ถูกผสมด้วยเครื่องจักร พวกมันมาจากไหนไม่มีใครรู้ และมันกำลังรุกคืบเพื่อยึดคืนดวงดาว Mirrodin ชั้นพื้นผิว
พวกมันทำให้เกิดสงครามระหว่างชนเผ่าสิ่งมีชีวิต ที่ก่อตั้งกองกำลังของตนเอง พวกเขาเรียกตัวเองว่า Mirran กับเหล่าเครื่องจักร... ที่มันเรียกตัวเองว่า Phyrexian!
ในครานี้ พวก Phyrexian ไม่ได้สร้างตัวตนขึ้นมาจากเครื่องจักรเหมือนสมัยของ Yawgmoth
แต่พวกมันกลับเปลี่ยนตนเองให้เสมือนเชื้อโรค ที่กัดกินร่างต้น หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก่อนที่จะค่อยๆ เปลี่ยนให้ร่างต้นกลายเป็นซากศพที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องจักรกล
Koth ต้องออกเดินทางเพื่อตามหาผู้ช่วยคนอื่นๆ มาหยุดภัยร้ายบนดวงดาว Mirrodin บ้านเกิดของเขา... แต่เบาะแสแรกที่เขาได้ มาจากชายปริศนา เขาแนะนำให้ Koth เดินทางไปยังย่าน Urborg แห่ง Dominaria... เขาติดอยู่ในสนามประลอง Heroes’ Memorial ก่อนที่เขาจะได้พบกับอีกหนึ่งนักประลอง... Elspeth Tirel
- ความเจ็บปวดในอดีต -
ทั้งคู่ปะทะกันตามกฎของการประลอง แต่ทว่า Koth เองไม่ได้ต้องการชัยชนะ เขาต้องการเพียงเบาะแสในการแก้ไขปัญหาที่บ้านเกิดของเขา
แต่กับ Elspeth แล้ว เธอเป็นนักประลองที่นี่ เธอรู้ดีว่าการประลองทำให้เธอได้เงินมาประทังชีวิต แม้ว่า Koth จะปัดป้องการโจมตีของเธอได้ แต่เขาก็ถูกดึงความสนใจโดยเสียงจากฝั่งผู้ชม ที่บอกให้ทั้งคู่วางอาวุธลงก่อน
และในช่วงจังหวะนั้น Elspeth ก็ได้โอกาสเข้าโจมตี Koth
บาดแผลไม่ถึงตาย แต่ก็ทำให้เขาต้องทรุดตัวลง... ท่านั่งของเขาเผยให้เห็นสัญลักษณ์บางอย่างที่ท้องแขนของเขา
มันคือสัญลักษณ์รูปวงกลม ที่มีขีดผ่ากลาง
และทันทีที่ Elspeth เห็นสัญลักษณ์นั้น เธอก็ไม่คิดจะยั้งการโจมตีของเธออีกต่อไป เธอตะโกนถามถึงที่มา พร้อมๆ กับดาบที่เงื้อหมายปลิดชีพของ Koth
แต่ดาบนั้นก็ถูกหยุดโดยเจ้าของเสียงเมื่อครู่
ร่างของมนุษย์สิงห์ ขนสีขาวโพลน และแผลเป็นที่ดวงตา... บุคคลที่ Elspeth คุ้นเคยเป็นอย่างดี... เขาคือ Ajani Goldmane
เขาเข้ามาห้าม Elspeth จากการสังหาร Koth และพากเธอออกไปจากลานประลอง...
Ajani เริ่มพูดคุยกับ Elspeth... หญิงสาวคนที่เขารู้จักไม่ใช่นักประลองไร้เกียรติแบบนี้...
และการพูดคุยกับ Ajani ก็ทำให้ Elspeth นึกย้อนไปถึงวันเก่าๆ...
ทั้งคู่ได้พบกันครั้งแรกที่ Bant แห่ง Alara
Elspeth เธอได้เป็นอัศวินหญิงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของที่นั่น... เธอเคยคิดว่า Bant คือบ้านของเธอ... จนเรื่องราวทุกอย่างกลับวุ่นวายเพราะสงคราม Conflux
ความสูญเสียมากมายทำให้เธอละทิ้งเกียรติยศและศักดิ์ศรี มาเป็นนักสู้ในลานประลองที่ Urborg...
แต่ Ajani เห็นว่าเธอมีดีกว่านั้น... เขานำชุดเกราะอัศวินแห่ง Bant ของ Elspeth มาให้เธอ...
“ความสิ้นหวังของเจ้า ทำให้ข้าเศร้าใจ... แต่ข้าเชื่อว่าเจ้ายังคงมีเกียรติ และศักดิ์ศรี เจ้าจะไม่ปล่อยให้ตนเองต้องจมอยู่กับความผิดหวังนานนักหรอก” Ajani กล่าวทิ้งท้าย ก่อนที่จะปล่อยให้ Elspeth ได้ใช้ความคิดของเธอต่อไป...
คืนเดียวกันนั้น ในขณะที่ Elspeth ออกมาเดินรับลม เธอก็พบกับคู่ประลองของเธออีกครั้ง... Koth นั่นเอง
เขาเข้ามาหาเธอ และแสดงรอยสัญลักษณ์ที่ท้องแขนของเขาให้เธอดูอีกครั้ง...
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับสัญลักษณ์นี้บ้าง” Koth ถาม Elspeth หลังจากที่เขาจับอาการของเธอเมื่อตอนประลองกันได้
“ถอยออกไป ไม่งั้นข้าจะตัดแขนที่ถูกแปดเปื้อนข้างนั้นของเจ้าทิ้งซะ” Elspeth ตอบพร้อมดวงตาที่แสดงความตระหนกออกมา
“ข้าไม่ใช่พวกมัน... ข้ายอมสลักมันไว้ที่แขนของข้า... เพื่อเป็นสัญญาแห่งการแก้แค้น... เพื่อระลึกถึงประชาชนของข้า... ชาว Mirrodin” Koth ตอบก่อนที่แขนของเขาจะถูกตัดจริงๆ
“Phyrexia” Elspeth กล่าวออกมาเบาๆ
“ถ้าเจ้ารู้ว่ามันคือสัญญะแห่งสิ่งใด... เจ้าย่อมเข้าใจ ว่าเหตุใดข้าจึงต้องหยุดการรุกรานของพวกมัน” Koth ตอบ
บทสนทนานั้น ทำให้ทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกัน และในตอนนี้ Koth ก็ได้ Elspeth เข้ามาร่วมเดินทางเพื่อหยุดยั้งเหล่า Phyrexian
ทว่า เบาะแสของ Koth ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เขายังคงต้องเดินทางไปยังสุสานแห่งเลือดเนื้อ (Tomb of Flesh)
เมื่อไปถึงที่นั้น มันมีเพียงความว่างเปล่าในห้องโถงกว้างๆ
Elspeth ใช้เวทย์มนต์ของเธอเพื่อให้แสงสว่าง... แต่ภาพที่ปรากฏต่อหน้าเธอ กลับทำให้ความเจ็บปวดในอดีตกาลกลับมาหลอกหลอนเธออีกครั้ง...
ซากศพ และเครื่องจักรที่ถูกผสานเป็นหนึ่ง เดินเข้าหาเธอ เงาจากร่างของมันบดบังแหล่งกำเนิดแสงจากทางเข้าห้องขัง...
เธอไม่รู้วันไม่รู้เดือน เธอถูกพวกมันจับมาขังและทรมานตั้งแต่เธอจำความได้ มันกำลังเดินเข้ามาเพื่อทรมานเธออีกครั้ง... แต่ความหวาดกลัวของ Elspeth เข้าครอบงำจิตใจของเธอ... เด็กน้อยไม่สามารถทัดทานการทรมานจนปางตาย อย่างที่เธอเห็นเพื่อนร่วมชะตากรรมของเธอได้อีกต่อไป เธอกรีดร้อง และพลังทั้งหมดก็เอ่อล้นจนระเบิดออกมา...
เธอหลุดลอยออกมาจากห้องขังนั้นด้วยวัยเพียง 13 ปี และไปถึงยังดาวที่ชื่อว่า Theros
เธอได้สติกลับมา... เธอหันหลังวิ่งกลับทันที... ก่อนที่ Koth จะตามมาพบกับเธออีกครั้ง
เขาได้มอบอัญมณีบางอย่างให้กับเธอ โดยเขาบอกว่ามันจะช่วยให้เธอลืมเรื่องราวความเจ็บปวดในอดีต และเขาก็ขอโทษที่ทำให้เธอต้องไปพบกับภาพหลอนในอดีตอีกครั้ง
Elspeth รับอัญมนีเหล่านั้นมา ก่อนที่ Koth จะใช้พลังของเขาเพื่อสื่อสารกับศิลาแห่ง Urborg... มันบอกให้เขาตามหาชายที่ชื่อ Venser
- ความทะเยอทะยานอันโง่เขลา -
Koth และ Elspeth ได้พบกับ Venser แต่ทว่า หลังจากที่ Venser หลุดปากเรื่องสิ่งประดิษฐ์เพื่อเดินทางข้ามดวงดาวของเขา
Koth ก็พุ่งเข้าจับเขาตรึงกับกำแพงทันที
“ไอ่มนุษย์หน้าโง่ แกรู้มั้ยว่าแกกำลังทำอะไรอยู่” Koth สบถออกมาอย่างเดือดดาล
“นี่มันบ้าอะไรกัน !?!” Venser กำลังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“พังไอ้เครื่องนี่ซะ แล้วอย่าแม้แต่จะคิดสร้างมันอีก แกกำลังทำให้ทั้งจักรวาลตกอยู่ในอันตรายนะโว้ย” Koth ยังไม่ผ่อนความหัวร้อนของเขา
“หยุดน่า Koth!” Elspeth ตะโกนมาจากด้านหลัง แต่ก็เหมือนว่า Koth จะหูดับ ไม่รับรู้เสียงอื่นใดอีกแล้ว
“ถ้าศิลาไม่ได้บอกว่าข้าต้องใช้ความสามารถของเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสียตรงนี้แหละ” Koth ปล่อย Venser แล้วยื่นหมวกเหล็กของ Venser คืนให้เขา “สวมมันซะ”
“เจ้ามีแค่ทางเลือกว่าจะตาย หรือจะยอมไปกับข้า” Koth พูด ในขณะที่ Venser รับหมวกเหล็กของเขาและสวมมันเข้าที่หัว
ไอ้หมอนี่มันน่าจะสติหลุดไปแล้ว สงสัยต้องชิ่งแล้วล่ะ Venser คิดกับตัวเอง
Koth เอามาไปจับหมวกเหล็กของ Venser ที่สวมอยู่กับหัวของเขา และแล้วหมวกเหล็กมันก็ล็อคติดกับศรีษะของ Venser ทันที มันเริ่มขยายตัวราวกับมีชีวิต มันกลายเป็นก้อนเหล็กที่ครอบหัวของเขา และทำให้เขาเริ่มขาดอากาศหายใจ
“ตอบมา ไม่งั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าขาดใจตาย” มันคือพลังของ Koth นั่นเอง ที่ทำให้หมวกเหล็กของ Venser เปลี่ยนไปเป็นเครื่องทรมาน
“ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปละก็ เจ้าต้องเดินทางไป Mirrodin กับข้า” Koth ถาม Venser ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นคนขาดใจตายต่อหน้า
“พอได้แล้ว Koth” Elspeth รู้สึกได้ว่าสถานการณ์มันเริ่มไปไกลเกินไปแล้ว
แต่ Venser ก็ส่งเสียงอู้อี้ออกมาจากหมวกเหล็ก เป็นการตอบตกลงว่าเขาจะไปที่ Mirrodin ตามคำร้องขอ (เหรอ?) ของ Koth
กระนั้น Koth ก็รอให้ Venser ออกเดินทางไปก่อน... และเขาจะปลดเวทย์มนต์ของเขาเมื่อ Venser ไปถึงที่นั่นแล้วเท่านั้น...
Venser ใช้พลังของเขาเพื่อ Planeswalk ไปยัง Mirrodin...
Mirrodin ดวงดาวของ Karn ผู้ที่เขายกย่องให้เป็นอาจารย์...
ดวงดาวที่เขาตั้งใจจะเดินทางไปเองเมื่อมีโอกาส... ไม่ใช่จากการถูกคนบ้าบังคับให้ไปแบบนี้... แต่ก็นะ ตอนนี้ไม่มีตัวเลือกแล้ว
“และสำหรับเจ้า นี่คือหนทางแห่งการปลดปล่อยความเจ็บปวดในอดีต... หนทางแห่งการชำระบาปที่เจ้าหลงเหลือผลเป็นไว้ในใจ” Koth พูดกับ Elspeth
“และพิสูจน์ว่าข้าไม่ใช่พวกขี้ขลาดสินะ” Elspeth ตอบกลับ
“นั่นเจ้าพูดเอง... ถ้าเจ้าเป็นคนที่ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็น เจ้าคงจะตามข้ามา” Koth พูด ก่อนที่จะ Planeswalk ตาม Venser ไป
“แต่พวก Phyrexian มันอันตรายเกินไป” Elspeth ตะโกนตามหลัง Koth...
แต่เธอยังยืนอยู่ที่เดิม... เธอไม่รู้ว่าเธอจะสามารถกลับไปพบเจอกับฝันร้าย และแผลเป็นในใจของเธอได้ไหวมั้ย...
- ดวงดาวที่เคยสมบูรณ์แบบ -
เพียงไม่นาน Elspeth ก็ตามมาสบทบทั้ง Koth และ Venser ที่มาถึงก่อนหน้า
ทั้งสามเริ่มออกเดินเท้า ในขณะที่ Koth เล่าถึงความเป็นมาของ Mirrodin...
ก่อนที่ Venser จะขัดจังหวะขึ้นมา
“โลกของนายมันก็ดูสมบูรณ์แบบตามที่นายบรรยายมาแหละนะ... แต่จะเที่ยวจับคนอื่นมาแก้ปัญหา แทนที่จะพูดกันดีๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกนะ” Venser กล่าว
“ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย แต่ข้าไม่มีตัวเลือก... ดาวของข้ากำลังจะเจอปัญหาใหญ่” Koth พูดขอโทษด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมไว้ใจคุณอยู่ดีนั่นแหละ” Venser ที่ดูเหมือนจะไม่ยอมรับคำขอโทษกล่าวต่อ
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวก Phyrexian มันทำอะไรได้” Elspeth เสริม “พวกมันไม่ได้ล่า หรือทำลายล้าง... มันจะกัดกินความเป็นตัวตนของเจ้าไป จนสุดท้ายเจ้าจะกลายเป็นมัน และไม่เหลือความเป็นตัวเองอีกเลย... นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของใครคนใดคนหนึ่งแล้ว”
“ข้าคิดถูกที่เจ้าเป็นเจ้า” Koth ชม Elspeth
“แล้วเราจะเริ่มล่ามันเมื่อไหร่ล่ะ?” Elspeth ตอบกลับ... ไม่ว่าจะด้วยความกล้า หรืออยากจะก้าวข้ามความกลัวของเธอก็ตาม มันทำให้ Koth ส่งยิ้มออกมา
เขาเรียกแผ่นหินขึ้นมา มันลอยเหนือพื้นราวกับไม่มีแรงโน้มถ่วงใดๆ และ Koth ก็เชิญให้ผู้ร่วมเดินทางของเขาขึ้นไปบนนั้น
มันเริ่มทะยานไปข้างหน้า มุ่งสู่จุดมุ่งหมายที่ Koth วางไว้ กระนั้น สิ่งที่ดูจะทำให้ Venser แปลกใจอยู่ไม่น้อยก็คือ...
ความสงบ... ความสงบที่ผิดไปจากคำบรรยายของ Koth มันไม่มีสงครามอย่างที่ Koth ได้พูดถึง จนเขาอดสงสัยไม่ได้
“ไหนสงคราม ไหนความขัดแย้ง ดาวของเจ้ามันก็ดูสงบดีนี่” Venser พูดออกมา
“ที่ Mirrodin แต่ละเผ่าพันธุ์ไม่ลงรอยกันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว... พวก Elves ก็มักจะปะทะกับพวก Vedalken หรือ Goblin กับ Loxodon” Koth พูด “แต่สิ่งที่ชาว Mirran ทั้งหมดจะต้องร่วมมือกันหยุดมันก็คือ Phyrexian... และข้ากำลังจะพาเจ้าไปพบกับมัน”
บรรยากาศรอบๆ ตัวของพวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป กลิ่นแห่งความตาย และสนิมล่องลอยมาแตะจมูก ทั้งเศษซากของโลหะ และพื้นดินที่เจิงนองไปด้วยแอ่งน้ำ... พวกเขามาถึง Mephidross แล้ว...
Mephidross สถานที่ที่ Koth พบเหล่า Phyrexian เป็นครั้งแรกๆ
“Malach!” Koth ตะโกนเรียกเพื่อนของเขา ที่นัดพบกันที่นี่
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
ทั้งสามจึงเริ่มเดินเท้าตามหา ก่อนที่ Venser จะพบซากศพหนึ่งร่าง และผีดิบที่คอยกัดกินซากศพนั้นอยู่
ผีดิบฝูงนั้น หันกลับมา และเห็น Venser เป็นดั่งเหยื่อชิ้นใหม่ พวกมันไล่ล่าเขาทันที
Venser เขาไม่ใช่นักรบ หรืออัศวิน เขารีบวิ่งกลับมาหา Koth และ Elspeth
พวกเขาจัดการเหล่าผีดิบที่วิ่งเรียงหน้ามาเป็นกองทัพตามแบบฉบับของตนเอง
Koth ใช้หมัด และวิชา Geomancy แปลงศิลาและพื้นดินให้เป็นอาวุธ คอยจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย
Elspeth ก็ใช้ดาบประจำตัวของเธอฟาดฟันพวกมัน...
แต่ Venser เขากำลังถูกล้อมไปด้วยผีดิบ เมื่อพึ่งใครไม่ได้ เขาก็ต้องพึ่งตัวเองไปก่อน เขาใช้พลังย้ายสสารของเขา ย้ายร่างตัวเองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันว่างเปล่า ก่อนที่จะย้ายร่างตัวเองลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัย ปล่อยให้เหล่าผีดิบที่เกาะตัวเขาร่วงลงมาจากท้องฟ้ากระแทกพื้นสิ้นฤทธิ์ไป
หลังจากที่จัดการกับผีดิบฝูงแรกได้ Koth ก็บอกว่า มันถึงเวลาเดินทางต่อแล้ว... แม้ว่ามันจะแปลกๆ อยู่บ้าง ที่เหล่า Nim หรือ ผีดิบ มันออกล่าอาหารมาถึงชายแดนของ Mephidross
แต่มันก็เป็นโอกาสที่ดี ที่จะหาสาเหตุ และกำจัดปัญหาให้สิ้นซากเสียที
แต่ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายของพวกเขา ภาพฝันร้ายของ Elspeth ก็กลับมาหลอกหลอนเธอ... จนเธอต้องถอนตัวจากภารกิจ...
ทั้ง Venser และ Koth ยังคงต้องออกเดินทางโดยไร้ Elspeth
ทั้งคู่เดินลึกเข้าสู้ใจกลางแห่ง Mephidross... แทบเทือกเขา Ish-Sah นั่นเอง
“แย่หน่อยนะ ที่นี่มันไม่ค่อยมีสายแร่มากพอจะสร้างยานพาหนะ” Koth พูดขึ้นมา
“นายก็รู้ ผมพานายหายตัวไปได้เลย ไม่ต้องมาเดินให้เมื่อยขา” Venser ตอบกลับ
“อย่าแม้แต่จะคิด” Koth กล่าว
“เห็นก้อนหินใหญ่ๆ ตรงโน้นป่ะ เดี๋ยวผมจะไปรอตรงนั้นนะ” Venser ที่เบื่อจะเดินแล้ว เตรียมตัวจะใช้พลังย้ายสสารพาร่างของตัวเองแยกไปก่อน
“พวกเราต้องอยู่ด้วยกัน นี่เป็นเขตของพวก Nim มันจะออกมาโจมตีเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้... ไม่รวมถึงพวก Phyrexia อีก” Koth ห้าม Venser เอาไว้
“สงสัย Elspeth ไม่อยากจะเดินไกลๆ มั้ง เลยไม่มาด้วย” Venser บ่นพึมพำ
“ขาเจ้าเสียรึไง” Koth ประชดกลับไป
และแล้ว สายตาของทั้งคู่ ก็ไปพบกับการเคลื่อนไหว
มันมีรูปรางร่างเรียวยาว เดินสี่ขา... ไม่สิ มันมีขานับไม่ท้วนมากกว่า หัวของมันแหลมคม และร่างกายทั้งหมดที่สะท้อนกับแสงอันหม่นหมองของดวงอาทิตย์สีดำของเขต Mephidross
“พวก Phyrexian” Venser กระซิบบอก Koth
“เราคงจะเข้าใกล้รังของพวกมันแล้วล่ะ” Koth พูดขึ้น ระหว่างที่ทั้งเขาและ Venser หลบอยู่ภายในเงามืดที่เป็นจุดอับสายตาของเครื่องจักรรูปร่างประหลาดตัวนั้น
“งั้นก็ไปจับตัวมัน เพื่อหาเบาะแสกัน” Venser พูด พร้อมๆ กับการออกตัวโจมตีกับ Koth
แต่เพียง Venser เข้าถึงระยะโจมตีของมัน เขาก็โดนโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว
Koth ที่ยิงหินสกัดเพื่อโจมตีมัน แต่มันก็ไม่มีอานุภาพมากพอที่จะหยุดเครื่องจักรเครื่องนี้
มันโจมตี Koth เพียงทีเดียว ก็ทำให้เขาสลบไป...
ในเวลาเดียวกัน ณ ย่านที่พักของชนเผ่า Vulshok
Elspeth ที่ตอนนี้เธอสวมใส่เสื้อผ้าอย่างเรียบง่าย เธออยู่ในบ้านพักของหญิงชนเผ่า Vulshok ในฐานะผู้หลงทาง
แต่บทสนทนาระหว่างเธอกับหญิงชาว Vulshok ก็ไม่ได้ดำเนินไปได้ด้วยดีเท่าใดนัก
หญิงสาว Vulshok ถามถึงที่มาของ Elspeth แต่เธอก็หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้น ผลของมันทำให้เธอถูกต่อว่า... และกลายเป็นคนทรยศในสายตาของหญิงชาว Vulshok ที่ให้ที่พักพิงกับเธอ
คำว่าคนทรยศกลับทำให้เธอหวนระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง ภาพของเพื่อนร่วมชะตากรรม ทั้งชาย, หญิง, เด็ก, ผู้ใหญ่ หรือวัยชรา ต่างกลายเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อรักษาความบ้าคลั่งจากการกลายร่างไปเป็นเครื่องจักร Phyrexian...
แต่กลับหญิงชาว Vulshok เธอไม่ได้สนใจว่า Elspeth จะรู้สึกอย่างไร... เธอยังคงมองว่า Elspeth เป็นคนทรยศ และกำหลังหนีจากสิ่งที่เธอต้องทำ และมันทำให้ท่าทีของเธอเปลี่ยนไปทันที
หญิงชาว Vulshok จ้อง Elspeth ด้วยความไม่พอใจ จนแม้แต่ตัว Elspeth เองก็รู้สึกได้...
และ Elspeth ก็รู้ว่าเธอควรจะออกไปจากที่นี่... ไม่ใช่เพื่อหนี แต่เพื่อกลับไปทำในสิ่งที่เธอควรทำ... เพื่อไม่ให้ทุกๆ ชีวิตบน Mirrodin ต้องเจอชะตากรรมแบบเดียวกับบ้านเกิดของเธอ
"เพื่อให้คำว่าคนทรยศ... ไม่ใช่นิยามที่ใช้เรียกตัวเธอ"
“ข้าไม่ควรอยู่ที่นี่” Elspeth พูดพร้อมกับเตรียมตัวออกไปจากที่พักแห่งนี้
“เจ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เจ้าคนทรยศ” หญิงชาว Vulshok ตอบพร้อมๆ กับอารมณ์ที่เดือดดาล
“ข้าไม่ใ-” Elspeth ยังไม่ทันพูดจบประโยค หญิงชาว Vulshok ก็จับตัวเธอ และเอาอาวุธของเธอมาจ่อคอของ Elspeth
“ข้าควรจะฆ่าเจ้าซะ... ก่อนที่เชื้อคนทรยศของเจ้าจะแปดเปื้อนไปทั่วที่พักของข้า” หญิงคนนั้นกล่าว
“ข้ามาเพื่อหยุดภัยของ Mirrodin” Elspeth พูดกลับไปด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ “ถ้าสิ่งที่เจ้าเป็นกังวลคือการทรยศของข้า แล้วเลือดข้าจะชำระล้างมันได้ ข้าก็ยินดี... แต่ข้ายังยืนยันคำเดิม... ข้าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องกังวล”
“หึ... เจ้ามีใจที่ซื่อตรง แม้เจ้าจะปล่อยให้อดีตมาฉุดรั้งเจ้าเอาไว้” หญิงชาว Vulshok ลดอาวุธของเธอลง แม้ว่าสายตาของเธอจะยังคงความไม่เป็นมิตรต่อ Elspeth “และข้าก็หวังว่า เจ้าจะทำอย่างที่เจ้าพูด... เพราะที่นี่ ผู้ที่ปล่อยให้ศัตรูได้รับชัยชนะ ก็คือศัตรูเช่นกัน”
“ถ้า... เจ้ารู้ว่าศัตรูของ Mirrodin คือใครละก็” Elspeth ตอบด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ข้าไม่รู้หรอก ข้ารู้แค่ว่า เจ้าเข้ามาพูดถึงอันตรายที่กำลังจะมา ภัยร้ายบ้าบออะไรนั่น... ถ้าเจ้าไม่ออกไปสู้กับมัน เจ้าก็คือคนทรยศต่อสัจจะของเจ้าเอง”
- แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ -
แสงสว่างจ้าสาดเข้ามาจนประสาทการรับรู้ของ Koth ตื่นขึ้น
ภาพอันขาวโพลน และความว่างเปล่าค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้นเมื่อดวงตาของเขาปรับตัวให้เข้ากับแสงได้อีกครั้ง
เขาพบว่า ตัวเองถูกยึดติดกับเตียงคล้ายๆ เตียงผ่าตัด ข้างๆ มี Venser ที่ยังไม่ได้สตินอนอยู่
ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้า ที่พวกเขาพลาดท่าจากการโจมตีของอสูร Phyrexian ก็พอจะช่วยให้ Koth ปะติดปะต่อเรื่องราวได้... พวกเขาน่าจะถูกจับไว้ในฐานทัพ หรือห้องทดลองของพวกมัน
Koth ใช้พลังของเขาสลัดเครื่องพันธนาการจนเหล็กที่ตรึงแขนของเขาหลุดออก ก่อนที่เขาจะลุกไปเรียก Venser ให้ได้สติกลับมา
แต่ไม่ว่า Koth จะตะโกนยังไง Venser ก็ไม่ลุกขึ้นซักที และแล้ว Koth ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกำลังมุ่งหน้ามาที่ห้องของพวกเขา
Koth รีบไปหาที่ซ่อน ก่อนที่ประตูจะเปิดออก
ปรากฏร่างของสิ่งที่ Koth เองไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร นอกจากพวกมันคือเหล่า Phyrexian
เครื่องจักรทั้งสองเดินหลังค่อมเข้าไปหาร่างของ Venser ก่อนที่จะมีเครื่องมืออะไรบางอย่างลดตัวลงมาจากเพดาน...
ดูเหมือนพวกมันกำลังจะผ่าร่างของ Venser และ Koth ก็คงปล่อยไว้แบบนั้นไม่ได้
เขากระโจนออกมาจากที่ซ่อน หมายจะโจมตีหนึ่งในสองเครื่องจักรนั้น... อย่างน้อยก็เพื่อประวิงเวลาให้ Venser ฟื้นขึ้นมาก็ยังดี
แต่ทว่า แขนกลจากเพดาน ขว้าตัวของ Koth เอาไว้ได้ มันจับคอของ Koth และกำลังจะใช้เครื่องมืออีกชิ้น ที่ดูคล้ายเข็มขนาดยักษ์ เตรียมเจาะเข้ากระโหลกของ Koth
และ... Venser ก็ลืมตาขึ้นมา เขาหันไปพูดกับ Koth
“ผมพาเราออกไปจากที่นี่ได้นะ” Venser กล่าว ราวกับจะประชด Koth ที่ไม่ยอมให้ Venser พาย้ายสสารในช่วงเดินเท้า
“ทำเลยสิวะ!” Koth ที่ยังติดอยู่กับแขนกล และมันกำลังรัดคอของเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ สบถออกมา
Venser ย้ายร่างตัวเองออกจากเตียง และเข้าไปคว้าเอาเข็มของแขนกลที่กำลังจะเจาะหัวของ Koth
ตูม!
เสียงระเบิดจากกำแพงฝั่งหนึ่ง
แสงสีทองสาดส่องมาจากช่องกำแพงนั้น ร่างในผ้าคลุมยกมือขึ้นอีกครั้ง ร่างของเครื่องจักรนักผ่าทั้งสองก็สลายไปจากแรงระเบิดของเวทย์มนต์นั้น
Elspeth บุกเข้ามาเผชิญหน้ากับสิ่งที่เธอเคยกลัวที่สุดในชีวิต เธอใช้ดาบของเธอฟันเข้าที่แขนกลจนมันขาด และปล่อยให้ Koth ได้หายใจเป็นปกติอีกครั้ง
“ข้าพอจะรู้แล้ว ว่าพวก Phyrexian มาจากไหน” Elspeth พูด ก่อนที่ทั้งสามจะออกเดินทางกันอีกครั้ง
- ความลับใต้ดิน -
พวกเขาทั้งสาม เดินทางมาถึงเทือกเขา Ish-Sah
สถานที่ ที่ Elspeth เชื่อว่า เป็นต้นตอของทุกๆ อย่าง พวกเขาตกลงกันให้ Venser เข้าไปสำรวจเส้นทางก่อน ซึ่งเขาก็ยินดีรับหน้าที่นั้น Venser ย้ายสสารเข้าไปภายในปล่องภูเขา Ish-Sah ทันที
ทันทีที่ Venser เข้าถึงภายใน เขาก็พบว่าตัวเขาอยู่ท่ามกลางเหล่าเครื่องจักร Phyrexian มากมาย และพวกมันก็ไม่รอช้า ที่จะเข้าโจมตีเขาทันที
Venser สู้ไปพลาง หาทางหลบหนีไปพลาง และเมื่อเขารวบรวมพลังได้มากพอ เขาก็ใช้พลังย้ายสสารของเขาอีกครั้ง... แต่เขาไม่รับรู้ทิศทางใดๆ อีกแล้ว
การย้ายสสารของเขา กลับพาเขาเข้าไปลึกขึ้นกว่าเดิม Venser ค่อยๆ เดินเท้าระหว่างที่เขารวบรวมพลัง
ในชั้นนี้ มันไม่มีบรรดาเครื่องจักร Phyrexian มันเหมือนถ้ำหินเสียมากกว่า... จนกระทั่ง Venser ไปสะดุดตาเขากับรูปสลักประติมากรรมขนาดยักษ์รูปหนึ่ง
มันเป็นรูปสลักขนาดมหึมา ที่มีเพียงแค่ส่วนหัวเท่านั้น... และมันก็มีใบหน้าที่เขาคุ้นเคย...
“Karn???” Venser เผลอบ่นพึมพำออกมา “นี่... มันเกิดอะไรขึ้น”
แต่ Venser ก็ไม่ทันจะได้ทำความเข้าใจกับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า ก็มีเสียงอันแหบพร่าตอบกลับมาจากมุมมืดด้านหลังของเขา
“ข้าก็เฝ้าถามคำถามเดียวกันกับเจ้านั่นแหละ” สิ้นเสียงนั้น ก็ปรากฏร่างอันใหญ่โตของเครื่องจักร ที่มีส่วนหัวเป็นมนุษย์
“เจ้าผู้บุกรุก บอกข้ามา เจ้ารู้จัก Karn ได้อย่างไร และข้าจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเจ้า” เครื่องจักรแบบ Phyrexian นั้นยังคงพูดต่อไป
“ไม่ยักรู้ว่า Phyrexian พูดได้” Venser เลี่ยงที่จะตอบคำถาม ด้วยการเฉไฉไปพูดเรื่องอื่น
“มี Phyrexian อีกมากมายที่สื่อสารได้เมื่อจำเป็น... และข้าเองก็ไม่ได้เป็น Phyrexian ไปมากกว่าที่เจ้าเป็นอยู่หรอก”
“เอ่อ... ร่างของนายมีแต่เหล็กกับน้ำมันเครื่องที่หยดมาตามข้อต่อเนี่ยะนะ ไม่ใช่ Phyrexian” Venser เริ่มตอบด้วยความยียวนในแบบของเขา
“ข้าเพียงแค่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง สู่อำนาจที่เหนือกว่า... แต่ทว่า พวกมัน... พวกมันกลับผลักดันให้ไอ้หุ่นกระป๋อง Karn นี่ มาเป็นผู้นำสูงสุด” เครื่องจีกรเครื่องนั้นเริ่มมีโทนเสียงที่เปลี่ยนไปเป็นความเคียดแค้น
“Karn ไม่น่าจะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องสุดวิกลจริตแบบนี้หรอก” Venser ตอบไป แม้ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“ใช่... มันไม่ควรอยู่ที่นี่... ที่นี้ เจ้าจะบอกข้าได้หรือยัง ว่าเจ้ารู้จัก Karn มากแค่ไหน?”
“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” Venser ตอบตามตรง แต่ร่างของเขาก็ถูกแขนกลจากเครื่องจักรตนนั้นผลักเขาเข้าติดกำแพง
“เพียงข้าออกคำสั่ง เหล่าผีดิบที่นี่จะเข้ามารุมทึ้งเจ้า และปล่อยให้ร่างของเจ้าเหลือไว้เพียงเศษผ้าขี้ริ้ว” มันพูดพร้อมกับเอากรงเล็บเหล็กมาตรึงร่างของ Venser ไว้กับกำแพงถ้ำ
“ผมแค่มาตามหา K-”
“ถ้าข้ารู้ว่ามันอยู่ไหน มันคงตายไปแล้ว... แต่ตอนนี้ คงต้องเป็นเจ้าแล้วล่ะ” ร่างจักรกลยังคงความเกรี้ยวกราดในน้ำเสียง “คายความลับออกมา ไม่งั้นเจ้าได้เป็นศพอยู่ที่สุสานใต้ดินลึก 30 กม. แน่ๆ”
30 กิโลเมตร?... นี่คือระยะทางที่เขาจะต้องย้ายร่างออกไปจากสถานการณ์อันตรายถึงชีวิต
Venser รวบรวมพลังและย้ายร่างของตัวเองขึ้นมาถึงพื้นผิวของ Mirrodin ได้อีกครั้ง
ทั้ง Elspeth และ Koth เจอ Venser พอดี พวกเขาเข้ามาประคอง Venser ที่ได้รับบาดเจ็บ และเหนื่อยล้า...
แต่สิ่งที่หนักหนากว่าร่างกาย คือจิตใจของเขา... ผู้ที่เขายกให้เป็นอาจารย์ กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของภัยร้ายที่ Mirrodin
ทั้ง Elspeth และ Koth ถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะวางแผนต่อไป
แต่ Venser เลือกที่จะถอนตัว... ภารกิจของเขาไม่ใช่ทำลาย Phyrexian อีกต่อไป แต่มันคือการช่วยเหลือ Karn... เพราะเขารู้ดี ถ้า Karn แปรพักตร์ หรือกลายเป็น Phyrexian แล้ว... มันไม่ใช่แค่ Mirrodin ที่จะเป็นอันตราย... แต่มันคือภัยร้ายระดับจักรวาลเลยทีเดียว...