การหลับไหลที่ไร้การรบกวนของชาว Stensia เมืองที่อยู่ท่ามกลางเทือกเขาสูงเสียดฟ้า
เมืองที่ไม่เพียงมีมนุษย์ปุถุชนอาศัยอยู่... แต่ยังมี Vampire อีกมากมาย
แม้แต่ในเวลานี้ Vampire ก็ยังคงหลับไหล แท้จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ต้องการการพักผ่อนแต่อย่างใด
แต่การเลือกที่จะหลับลงในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้เหล่าข้ารับใช้ของพวกเขาได้เบาแรงลงบ้าง... และอีกเหตุผลที่เหล่า Vampire เลือกจะนอนหลับในช่วงนี้ มันคือเหตุผลสุดวิจิตรที่ว่า “มันเป็นเรื่องแสนจะน่าปีติไม่ใช่เหรอ ที่เราเลือกจะพักผ่อนในตอนที่อำนาจทั้งหมดอยู่กับเรา?”
การพักผ่อนเพียง 1-2 ชั่วโมงของเหล่า Vampire ก็ถือเป็นเวลาอันมีค่าสำหรับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใน Stensia พึงจะมีในตลอดสัปดาห์... แม้ว่าพวกเขาจะเหลือน้อยลงมากแล้วก็ตาม
สำหรับเหล่า Vampire แล้ว การพักผ่อนสั้นๆ มันก็มากเกินพอที่จะกระตุ้นความกระหายเลือดของพวกเขา, และมันก็จะตามมาด้วยการล่า... ก่อนที่จะจบลงด้วยความตายของมนุษย์
Grigori กดมีดไปที่ข้อมือของคุณแม่ของเขา, ร่างของเธอไม่ไหวติง ราวกับเธอยังคงหลับอยู่
มันเป็นเรื่องยากจะคาดคะเนเนื่องด้วยช่วงเวลากลางคืนที่ไม่สิ้นสุด แต่ก็คงจะผ่านมาราวๆ 2 คืนนับจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เทศกาล Harvesttide แล้ว แม่ของ Grigori ก็ยังคงหลับไหล ราวกับเธอไม่อยากจะตื่นขึ้นมาพบความจริง
ภาพคุณแม่ในความทรงจำของ Grigori คือหญิงที่เต็มไปด้วยความหวัง เธอสลักรูปจำลองเพื่อเผาบูชามัน และเมื่อดวงจันทร์ไม่ลาลับฟ้าอีกต่อไป เธอก็กลับมาที่บ้านด้วยร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผล และจิตใจของเธอก็แหลกสลาย
“Innistrad จะยังคงอยู่” คำจากบทสวดสุดท้ายที่คุณแม่พูดไว้... คำสวดที่ไม่มีนางฟ้าองค์ใดจะลดตัวลงมารับฟัง
ในตอนนี้... อีกสัปดาห์ให้หลัง คุณแม่ก็ยังคงหลับไหล เหลือเพียงร่างผอมแห้งติดกระดูก และซี่โครงที่ยังขยับไปมาให้รู้ว่าเธอยังไม่ตาย
ใบมีดตัดเข้าไปที่ข้อมือ เลือดของคุณแม่หยดลงมาในถ้วยแก้ว... มันกลายเป็นสิ่งมีค่าที่สุดที่ Grigori เคยสัมผัสมา... หรือเรียกได้ว่ามันมีค่าเสียยิ่งกว่าทุกๆ สิ่งที่เขาเคยสัมผัสมารวมกันเสียอีก
และเหตุผลของมันก็มาจากป้ายประกาศิตที่แขวนอยู่หน้าประตูของเขานั่นเอง
ประกาศข่าวถึงประชาชน แจ้งข่าวดีในวันสุดแสนพิเศษที่กำลังจะมาถึง
พวกเราขอแจ้งเก็บภาษี ในรูปแบบของโลหิต 1 ถ้วย ต่อ 1 คน ในทุกๆ คืน ก่อนจะถึงวันเทศกาล
และถือเป็นการแสงดน้ำใจอย่างงามจากพวกเรา ที่ได้มอบถ้วยสำหรับเก็บโลหิตเหล่านั้น, โปรดจงรับรู้ไว้ว่า ถ้วยเหล่านี้ได้ถูกร่ายมนต์เอาไว้ พวกเราจะรับรู้ได้ทันทีหากเจ้าสัตว์โสโครกคนไหนบังอาจทำลายถ้วยแก้วที่เรามอบให้
ทางเราจะส่งตัวแทนไปตามเก็บภาษีจากพวกเจ้าทุกคน ได้โปรดให้เกียรติตัวแทนของเรา, ไม่เช่นนั้น พวกเจ้าเองจะเป็นฝ่ายที่รู้สึกเสียใจ
เราหวังเป็นอย่างยิ่ง ที่ประกาศิตเล่มนี้จะไปถึงมือของพวกเจ้า, ถ้าไปมันไม่ถึง โลหิตของพวกเจ้าก็จะถูกเก็บเป็นภาษีอย่างไร้ข้อยกเว้นเช่นเดิม
เจ้าเหนือหัวนิรันดร์ของพวกแก
Olivia Voldaren, ผู้ครอง Innistrad อย่างไร้ข้อกังขา
Grigori นั่งมองเลือดของคุณแม่หยดลงไปในถ้วย ท่ามกลางความฉงนใจ...
เหตุใด Olivia ถึงเลือกที่จะประกาศตัวเช่นนั้น... ถ้าสุดท้ายแล้ว มันจะเป็นเธอเองนั่นแหละ ที่ทำให้ทุกอย่างสูญสิ้นไป, เพราะถ้าเป็นตัวเขาเอง เขายินดีที่จะทำลายทุกอย่างให้สิ้น ถ้าเขามีทางหนีทีไล่จะไปที่อื่นแล้ว...
Stensia ที่ๆ Grigori อยู่แล้วเคยอบอุ่นใจ บรรยากาศของเทือกเขาสูงชัน อากาศที่ปลอดโปร่ง วัฒนธรรม... วัฒนธรรมที่ไม่ว่าเมืองไหนๆ ใน Innnistrad ก็มีความโดดเด่นของตัวเอง อย่างเช่นที่ Kessig พวกเขาต้องคอยหวาดระแวงพวกมนุษย์หมาป่า
แต่ถ้าเป็นที่ Stensia เหล่า Vampire จะออกล่าก็เป็นเพียงช่วงๆ เท่านั้น... มันเหมือนกับโรคระบาดที่นานๆ จะมาครั้ง
แต่เมื่อโรคระบาด มันเปลี่ยนไปไม่ต่างจากการอยู่ด้วยความหวาดระแวงล่ะ?
ผู้คนใน Stensia ก็ปรับตัวให้อยู่กับมัน
บ้างก็ถวายตัวรับใช้พวก Vampire... อย่างน้อยก็หวังว่าพวกนั้นจะไม่ล่าคนรับใช้ของตัวเอง
แต่บางครั้ง พวกเขาก็พลาดท่า ไปตายอยู่นอกคฤหาสน์ของเหล่า Vampire... และนั่นก็ทำให้คนในครอบครัวของพวกเขาไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
และแล้ว การรีดภาษีเลือดบ้าบอนี่อีก... ภาษีที่แม้แต่พวกข้ารับใช้เองก็ยังต้องจ่าย นี่มันผิดฝาผิดตัวไปเสียหมด
Grigori ได้แต่คิดวนไปวนมา
แต่สุดท้าย เขาก็ไม่สามารถออกจากวังวนนี้ได้ เขาทำได้เพียงหยิบถ้วยแก้วที่เต็มไปด้วยเลือดของแม่ขึ้นมา จูบไปที่หน้าผากของเธอ
เขาเอานิ้วรูดเช็ดเลือดที่กระเซ็นอยู่ตรงขอบถ้วย และเดินออกจากห้องไป
ที่หน้าบ้านของเขา มันมีเพียงความตาย และความว่างเปล่า
ทั้งๆ ที่ เพียงสัปดาห์ก่อน เพื่อนๆ ของเขายังตั้งวงกินดื่ม และร้องเพลงสังสรรค์
เพียงสัปดาห์ก่อน รูปสลักที่ถูกจุดเผาเป็นการบูชามีให้เห็นที่หน้าต่างของบ้านทุกๆ หลัง
เพียงสัปดาห์ก่อน เพื่อนๆ ของเขายังจับกลุ่มกันกว่าครึ่งโหล ในสภาพเมาตุปัดตุเป๋เพื่อจะล่าท้าผีกันสนุกๆ
ในตอนนี้มันเหลือเพียงท้องถนนที่ว่างเปล่า, บ้างก็ต้องฝืนทนทำงานเพื่อเอาชีวิตรอด... ส่วนพวกที่ไม่ต้องทำงานก็คือพวกที่ตายไปแล้ว
มันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกระทันหันเหมือนกับเหตุการณ์สังหารหมู่ Harvesttide หรอก แต่ผลลัพธ์สุดท้ายมันก็ไม่ต่างกัน... ถ้าใครมาเดินกลางถนนที่ Stensia ก็บอกได้เลยว่าเขาไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ
คนที่สามารถหนีไปจากที่นี่ได้ ก็หนีไปแล้ว... แม้มันจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าพวกเขา หนี ออกไปจาก Stensia ได้จริงๆ
เพราะจากข่าวลือมากมาย ที่อื่นๆ ก็ไม่สามารถหนีพ้นจากราตรีนิรันดร์ได้... และเมื่อเหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันยาวนาน ใครเล่าจะหนีจากแสงจันทร์ไปได้
แสงจันทร์สีเงินที่เคยเป็นดังแสงแห่งความหวังยามราตรี ได้กลายเป็นสัญญะแห่งความหม่นหมองของ Innistrad
Grigori นำถ้วยอีกใบที่เต็มไปด้วยเลือดมาวางข้างๆ ถ้วยเลือดของแม่เขา...
ถ้วยที่บรรจุด้วยเลือดของเขาเมื่อชั่วโมงก่อนหน้า เขานั่งลงกับพื้นถนนที่หน้าบ้าน สายตาเหม่อมองไปยังดวงจันทร์ ด้วยร่างกายที่อิดโรย... จากการเสียเลือด... จากความสิ้นหวัง
ฝูงค้างคาวดำทมิฬโฉบผ่านฟากฟ้า ตัดกับแสงสีเงินของดวงจันทร์ ราวกับฝูงกาที่โฉบผ่านศพอันซีดเซียว
และก็ไม่ต่างจากอีกาส่งสาส์น ในฝูงนั้น ค้างคาวบางตัวแบกเอาซองสีดำคาดขาว-แดงติดมากับพวกมันด้วย
จนบางตัวก็เริ่มบินแยกออกจากฝูง สองตัวจากในนั้นบินตรงมายัง Grigori
พวกมันมาเก็บภาษี มันคาบเอาถ้วยเลือดของครอบครัวของเขา... มีชั่ววแวบหนึ่ง ที่ Grigori คิดจะคว้าตัวพวกมันและฆ่าให้ตายคามือ... แต่คงไม่ทันครบวัน... ในระบบเวลาที่ไม่น่าจะนับวันได้อีกต่อไป
บรรดา Vampire ที่เหลือคงได้มาตามล่าเขาเป็นแน่... แม้ว่าสำหรับแม่ของเขา มันก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนไป นอกจากทั้งคู่คงได้ตายจริงๆ
แต่ยังไงก็ช่าง Innistrad ก็ยังคงวัฏจักรของมันได้ต่อไป... ไม่ว่าคุณจะเสียชีวิต หรือคุณจะตายไม่ได้ก็ตาม
และแล้ว ค้างคาวก็บินจากไป Grigori ได้เพียงแค่มองพวกมัน ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้านของเขา เข้าไปดูแลแม่... และหวังว่าเธอยังคงหลับไหลเช่นเดิม
- แสงของกันและกัน -
Adeline เคยผ่านช่วงเวลาที่ตกต่ำในชีวิตของเธอมาแล้ว เธอรู้ว่าปีศาจที่คอยคุกคามคืออะไร
นับตั้งแต่ Adeline เข้าโบสถ์ เมื่อตอนอายุ 12 ขวบ ทุกลมหายใจเข้า-ออก ของเธอ ก็มีไว้เพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติ
มันไม่เคยเป็นเรื่องง่ายเลย
แต่มันก็ง่ายกว่าตอนนี้
ดาบที่แทงทะลุขั้วหัวใจของ Vampire ตรงหน้า ก็พอให้ Adeline รู้สึกถึงชัยชนะเล็กๆ... เพราะอย่างน้อย พวกมันก็ไม่สามารถไปล่าสังหารใครได้อีก
กระนั้น ความรู้สึกผิดก็ตามเข้ามาทันที... แม้ว่าสิ่งที่เธอทำจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าที่เคย แต่มันก็เป็นงานที่กำลังกัดกินบางอย่างในใจของเธอไปทีละน้อย
แต่นั่นเป็นส่วนที่เธอไม่สามารถที่แสดงออกมา เพราะผู้คนต่างมองหาภาพของวีรสตรีผู้เข้มแข็ง, อัศวินขี่ม้าขาว, สัญลักษณ์แห่งความเที่ยงธรรมที่โลกใบนี้ลืมเลือนไปนานมากแล้ว...
ซึ่งก็ไม่ต่างจากตัวของ Adeline เอง
และแล้ว แสงที่เธอตามหาก็สาดส่องเข้ามา ทันทีที่ร่างของ Vampire ตัวนั้นนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น
เปลวเพลิงสีส้มของ Chandra ลุกลามไปทั่วร่างของมัน, Adeline พบกับแสงสว่างของเธอแล้ว
แม้ว่า Adeline จะแสดงภาพลักษณ์ของอัศวินผู้เข้มแข็งให้แก่ผู้คนมากมาย แต่เมื่อเธออยู่สองต่อสองกับ Chandra เธอก็ปล่อยให้ร่างกายของเธอได้ผ่อนคลายลง
สายตาของเธอแสดงความอ่อนล้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด, ท่ามกลางความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์ ไฟของ Chandra ส่องสว่างแข่งกับแสงที่ดวงจันทร์จะให้ได้
Chandra ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถาม Adeline ว่าเธอไหวมั้ย? เพราะทั้งคู่ต่างรู้คำตอบนั้นดี, Chandra เดินเข้ามาบีบไหล่ของ Adeline
“นี่รู้เปล่า? ฉันไปเจอไวน์ในบ้านร้างตรงนั้น” Chandra พูดขึ้น “เราน่าจะให้รางวัลตัวเองกันบ้างนะ
ท่ามกลางเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวล เสียงของ Chandra กลับยังมีประกายของความสดใส... แม่มันจะลดน้อยลงไปมาก แต่ Adeline ก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจกับความหม่นหมองในน้ำเสียงนั้น
“ฉันว่าเราควรจะประชุมให้เสร็จก่อนนะ” Adeline ตอบ “เสร็จแล้วเราค่อยว่ากัน”
ซากของ Vampire ที่กลายเป็นตอตะโก พร้อมกับกลิ่นเนื้อไหม้เข้ามาเตะจมูก
Adeline เก็บดาบของเธอเข้าฝัก ก่อนที่ทั้งคู่จะออกเดินกลับ แม้รอบๆ ตัวของพวกเขายังมีเหล่าทหารที่คอยยืนป้องกัน, บ้างก็ยังติดพันต่อสู้อยู่กับพวกผีดิบทาสของ Vampire
บ้างก็เลือกที่จะคอยดูแลผู้บาดเจ็บและคนป่วย อย่างเช่นแม่มด Deidama... แม้ว่าเธอเองจะรู้ดีว่าบางอาการมันเกินกว่าจะใช้เวทย์มนต์เยียวยาแล้วก็ตาม
แต่อย่างน้อย พวกเธอก็ได้พยายามแล้ว
การปะทะครั้งนี้ เป็นการโต้กลับครั้งที่ 5 ในรอบสัปดาห์
เด็กหนุ่มน้อยคนนึง ได้ยินเรื่องราวของเหล่าผู้กล้า, ผู้ต่อสู้ท่ามกลางราตรีนิรันดร์
เมื่อ Vampire ออกล่าที่หมู่บ้าน Karo แห่งนี้ เขาวิ่งหนีตายออกมาด้วยฝ่าเท้าที่เต็มไปด้วยเลือด จากบาดแผลที่ถูกหินบาดเข้า
Arlinn เป็นคนแรกที่เด็กน้อยคนนี้ได้พบหลังจากการหนีตายออกมา, ตอนนี้ Arlinn จึงเป็นเหมือนพี่เลี้ยงของเขา
Arlinn แนะนำแม่มดที่กำลังรักษาแผลให้กับเด็กน้อย มันน่าแปลกที่คราบเลือดบนเสื้อผ้าของแม่มดช่วยขับให้ซุปร้อนๆ ที่เธอนำมาให้เด็กน้อยคนนี้ดูสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
และเมื่อ Adeline และ Chandra มาถึง, Arlinn ที่เหลือบไปเห็นทั้งคู่พอดี เธอส่งยิ้มให้เด็กน้อยคนนั้น ก่อนที่จะลุกออกมาเพื่อไปพบกับทั้ง Adeline และ Chandra
ก่อนที่ Teferi, Kaya, Deidama และแม่มดคนอื่นๆ จะเดินตามมา
พวกเขาที่จัดตั้งกันขึ้นเป็นชุดทีมล่าอสูร, ทีมเล็กๆ ที่มีสมาชิกประมาณ 20-30 คน ที่จะถวายตัวปกป้องมนุษยชาติในโมงยามนี้
และผู้รอดชีวิตอีกราวๆ 200 ชีวิตที่ยังหลบอยู่ในป่า... เพราะบ้านที่แท้จริงของพวกเขาถูกทำลายไปหมดแล้ว
“เป็นไงบ้าง?” Arlinn ถามขึ้น
“อสูรร้ายถูกพิชิตลงแล้ว!” Chandra ตอบ
Adelinn พยักหน้าเป็นคำตอบ และแอบอมยิ้มกับความขี้เล่นของ Chandra “หมู่บ้านอาจจะต้องใช้เวลาในการสร้างขึ้นใหม่... อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ปลอดภัย... ในคืนนี้”
“ดีเลย” Arlinn ตอบ “เราช่วยเหลือพวกเขาเท่าที่เราจะทำได้แล้ว, ชาวเมือง Kessig เขาขึ้นชื่อเรื่องการสร้างสิ่งบ้านได้ในวันเดียว, ให้เวลาพวกเขาซักอาทิตย์ รับรองว่าเราจะมีที่พักให้กับทุกๆ คนแน่นอน”
แต่มันก็เป็นความจริงที่พูดออกมาไม่หมด เพราะก่อนที่จะสร้างหมู่บ้านขึ้นมาใหม่ได้ พวกชาวบ้านจะต้องเอาตัวรอดให้นานพอ และการสร้างบ้านท่ามกลางแสงจันทร์อันมืดมิดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย... มันมีโอกาสล่มสลายมากกว่าจะได้ซ่อมสร้างเสียอีก
แต่คิดถึงมันไปก็เท่านั้น ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเราต้องช่วยเหลือชาวบ้านเท่าที่จะทำได้... เพราะนอกจากที่ Karo แล้ว ชาวบ้านที่หมู่บ้านอื่นๆ ก็ต้องการพวกเขาเช่นกัน
“จะมาประชุมกันใช่มั้ยล่ะ?” Arlinn พูด และชี้ไปทางกระโจมชั่วคราว ใกล้ๆ กับกองไฟของหมู่บ้าน มันถูกล้อมไปตัวตอไม้ที่ถูกตัดเป็นที่นั่ง และเก้าอี้ทำมือ
เหล่านักล่าอสูรเข้าไปในกระโจมนั้น เพื่อจับจองที่นั่ง แต่ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบได้ มันเหลือเพียงเก้าอี้ยาวทำมือตัวเล็กๆ สำหรับนั่งเบียดๆ ได้สองคน ที่ยังว่างอยู่... พอดีสำหรับ Chandra และ Adeline... เดาว่ามันแผนของ Kaya เพราะเห็นได้ว่าเธอแอบยิ้มมุมปากออกมา
แต่ทำไงได้ Adeline นั่งลงข้างๆ Chandra
ทุกสายตาจับจ้องมาที่ Arlinn อีกครั้ง
ค่ำคืนที่ไร้เวลากลางวัน ก็สร้างภาระให้กับร่างกายของ Arlinn ไม่ต่างจากคนอื่นๆ... ยิ่งรวมกับการปะทะกับ Tovolar มันยิ่งทำให้ Adeline มอง Arlinn เป็นหมาป่ามากกว่ามนุษย์ไปแล้ว ยกเว้นก็แต่ตอนนี้ที่ Arlinn ถอนใจออกมา... เธอดูเป็นมนุษย์มากเหลือเกิน
“ไม่มีเทศกาลรื่นเริงอะไรอีกแล้ว” Arlinn พูดขึ้นมา “เราทนทำมันต่อไปยาวๆ ไม่ได้แน่ๆ”
“แล้วเวทย์มนต์ของคุณ Teferi ล่ะ?” Adeline ถามขึ้นมา “ฉันคิดว่ามันน่าจะ-”
Teferi เม้มปากก่อนที่จะมองขึ้นไปยังดวงจันทร์แสนละโมบที่ไม่ยอมคืนเวลากลางวัน เขาก้มลงมาอีกครั้ง “ต้องขอโทษด้วยนะ... ระบบวงโคจรของ Innistrad เป็นสิ่งที่ซับซ้อนกว่าที่ใดๆ ที่ผมเคยรู้จักมา... และสิ่งที่ไม่ยอมให้ดวงจันทร์นั่นขยับไปไหนเลย ก็เป็นเวทย์มนต์ที่พิเศษมากๆ” Teferi นั่งห่อไหล่ ก่อนที่จะพูดต่อ “และต่อให้ผมสามารถทำความใจเรื่องซับซ้อนทั้งหมดนี่ได้... มันก็คงต้องใช้พลังเวทย์มากกว่าที่ผมมีในตอนนี้แน่ๆ”
“เรื่องนี้มันหนักหนาเกินกว่าจะให้ใครคนใดคนหนึ่งแก้ไขมัน” Kaya เสริม “ฉันเลยอยากจะขอเสนออีกทางเลือก... พวกเราต้องร่วมมือกัน”
“ฉันไม่เห็นจะเข้าใจ” Adeline พูดขึ้นมา “เราก็ร่วมมือกันอยู่นี่นา?”
“ใช่... เรารวมกลุ่มกันแล้ว... แต่นี่ก็แค่กลุ่มของพวกเราเอง... ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นมนุษย์” Arlinn ตอบ
ซึ่งนอกจากเธอเอง ก็มีมนุษย์หมาป่าอยู่ในกลุ่มนี้เพียง 2-3 คน ว่าแต่ ทำไม Arlinn ถึงพูดแบบนั้นขึ้นมา
Adeline จ้องไปที่ตาของ Arlinn เพื่อมองหาคำตอบ... คำตอบที่ตามมาในไม่ช้า
“ราตรีนิรันดร์จะไม่ส่งผลกระทบกับเพียงมนุษย์เท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้ว... อาจจะในสิบปี พวก Vampire เองก็จะไม่มีเหยื่อให้ล่าเป็นอาหาร... แล้วดาวทั้งดวงก็จะไม่เหลืออะไรเลย... และที่รู้ๆ กัน ในกาลก่อนก็เคยมี Vampire ที่เข้าใจเรื่องนี้ดี... พวกเราคงต้องไปคุยกับเขา”
Chandra หัวเราะแห้งๆ ออกมา “บอกมาที ว่าเจ๊แค่ล้อเล่น”
“Chandra พูดถูก” Adeline เสริม “ถ้าคุณหมายถึง Sorin Markov แล้วล่ะก็, คราวที่แล้วเขาไม่ยินดีที่จะร่วมมือกับเราด้วยซ้ำ คุณคิดว่าอะไรๆ จะเปลี่ยนไปหรือไง?”
“เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้วไง” Arlinn คงจะเตรียมรับคำถามเหล่านี้มาเป็นอย่างดี เพราะเธอแทบจะไม่เสียเวลาคิดก่อนตอบเลย “อีกอย่างหนึ่ง เป็นเพราะ Olivia Voldaren ที่มาเอากุญแจ Moonsilver ไป... คนที่น่าจะรู้ว่าเธอทำไปเพื่ออะไรก็คงมีแต่ Sorin นั่นแหละ”
“ถ้าข่าวลือที่ฉันได้ยินมาเป็นเรื่องจริง... Sorin เกลียดยาย Olivia ในระดับไม่เผาผีกันเลยนะ” Kaya เสริม “แถม Olivia ยังเก็บภาษีในรูปแบบเลือด ด้วยการบังคับประชาชนใน Stensia ทุกคนอีกด้วย”
“แปลว่า Olivia กำลังมีแผนอะไรบางอย่าง” Adeline เริ่มเห็นด้วย “แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงต้องไปยุ่งกับ Sorin”
“เพราะเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วไงล่ะ” Teferi ขัดขึ้นมา “Sorin น่ะ แม้เขาจะเจ้าอารมณ์ไปบ้าง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว เขาก็คือผู้พิทักษ์ดวงดาวที่ลงลึกเข้าขั้นอภิอัตต-”
“ขอเวลาทำความเข้าใจซักสองปี” Kaya ขัดขึ้นมา
“เอาเป็นว่า ในฐานะคนที่รู้จักกับ Sorin มานับศตวรรษ, ผมเชื่อว่าเขาเป็นทางออกของปัญหานี้... แค่ทางเดียว, นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Sorin หัวร้อน... ที่จริง ผมไม่ค่อยเจอเวลาที่เขาจะนิ่งๆ ซักเท่าไหร่หรอก... แต่ถ้าอยากรู้ว่า Olivia กำลังวางแผนอะไรอยู่... Sorin นี่แหละ คือคำตอบ”
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเราคือกุญแจนั่น... ไม่งั้นเรื่องวุ่นๆ ทั้งหมดนี่คงไม่จบลง” Kaya เสริม “ถ้าใครจะให้เบาะแสเรื่องพวกนี้ได้... มันก็ต้องเป็นเขา”
เหตุผลทั้งหมดมันฟังดูดี... แต่ลึกๆ ในใจของ Adeline ก็ยังไม่สามารถทำใจยอมรับได้ “Arlinn, ครั้งก่อนที่เราเจอ Sorin... เขายังต่อสู้กับ Sigarda อยู่เลยนะ”
“ฉันรู้...” Arlinn กัดกรามของเธอ “มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับฉันเหมือนกัน... แต่ถ้าลูกแกะหลงทาง เราไม่ควรจะปล่อยให้มันถูกหมาป่ากินหรอกนะ”
“เขาไม่ใช่แกะ” Adeline ตอบ “และเธอก็ เป็น หมาป่า”
Arlinn กลั้นขำเอาไว้ ก่อนที่จะพูดต่อ “โอเคๆ ฉันเคยออกล่ากับฝูงหมาป่าก็จริง แต่ถ้าเธอมากับพวกเราด้วยก็เป็นเรื่องที่ดี... แต่ถ้าเธอไม่อยากมา ฉันก็เข้าใจ”
Adeline รู้ดีว่าทางเลือกไหน คือทางที่ถูกต้อง... แม้บางครั้ง การเลือกเส้นทางนั้นมันจะหนักหน่วงก็ตาม
เหล่าทหารศักดิ์สิทธิ์จะฝึกฝนด้วยดาบถ่วงน้ำหนักเสมอ เพื่อคอยเตือนใจทหารหน้าใหม่... เส้นทางของความโหดร้าย ไม่ใช่ทางเลือกแรก... เราไม่ควรรู้สึกสบายใจ ในการคร่าชีวิตใครก็ตาม
และถ้าทางเลือกที่จะแก้ปัญหาทั้งหมด มันต้องเข้าไปข้องแวะกับ Sorin แล้วล่ะก็ มันก็คุ้มที่จะเสี่ยง
Adeline รับรู้ถึงสายตาที่ Chandra กำลังคาดหวังคำตอบจากเธอ “ฉันจะไป... ถ้า Sorin ยังหลงเหลือเศษเสี้ยวของ Avacyn อยู่ในตัวเขา ฉันเชื่อว่าเขาจะเปิดใจรับฟังพวกเรา”
เพียงไม่นาน พวกเขาก็เตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง, เด็กน้อยจากหมู่บ้าน Karo ยืนรอ Adeline อยู่ที่หน้ากระโจมที่พักชั่วคราว พร้อมกับผ้าพันแผลที่เท้าของเขา
เด็กน้อยคนนั้นหอบหิ้วชุดเกราะที่ใหญ่เกินตัวเขาไปมากเอาไว้ สัญญะศักดิ์สิทธิ์แห่ง Avacyn ที่สลักนูนอยู่บนเกราะมีขนาดเท่าๆ กับตัวเขาเลยทีเดียว, เขาเคียงข้างมากับหมูตัวยักษ์ที่ขนาดพอๆ กับม้าตัวเล็กๆ มันกำลังทำท่าฟุดฟิดที่พื้น
“ผมช่วยอะไรได้บ้างครับ?” เด็กคนนั้นถาม Adeline ขึ้น
เธอนั่งชันเข่าลงข้างๆ เขา “เธอช่วยพวกเรามาเยอะแล้วล่ะ” ก่อนที่จะหยิบเอาสัญญะศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากช่องเก็บของในชุดเกราะของเธอ และส่งให้หนุ่มน้อยคนนั้น “สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือกลับให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยนะจ๊ะ”
- คำถาม -
Innistrad จะต้องรอด... คำพูดที่ส่งต่อกันมาปากต่อปาก ที่เพียงมองความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่ว่าใครต่อใครก็รู้สึกว่ามันช่างไร้ความหมายสิ้นดี... ไม่มีทางใดเลย ที่ Innistrad จะรอดไปจากเหตุการณ์ในตอนนี้ได้
Sorin Markov เองก็มั่นใจแบบนั้นเช่นกัน
เขาแน่ใจในเรื่องนี้มานานยาวนานเกินนับศตวรรษแล้ว ดั่งเช่นปรัชญาที่เขามองได้อย่างถ่องแท้ แม้ว่าปู่ของเขาจะกล่อมให้เขาเชื่อไปในทางอื่น
เมื่อคุณลองคิดใตร่ตรองดู ถ้าหาก Vampire นั้นไม่มีวันตาย... พวกเขาจะต้องกินอาหารอย่างน้อยเดือนละครั้ง, ที่มักจะจบลงด้วยความตายของผู้บริจาคเลือด... (ถ้ายังคิดจะเรียกตามธรรมเนียมโบราณ) ในขณะที่พวกมนุษย์นั้น จะต้องใช้เวลาราวๆ 9 เดือนที่จะได้มนุษย์คนใหม่ออกมา
คิดยังไงมันก็ไม่เข้าท่า
นี่ขนาดยังไม่คำนวนมนุษย์ที่จะตายไปเองจากโรคระบาด หรือคนที่จะกลายมาเป็น Vampire หรือมนุษย์ที่กลายเป็นเหยื่อของพวกหมาป่า ฯลฯ
ยังไงๆ มันก็เป็นวัฎจักรที่ไม่ยั่งยืนเอาเสียเลย... แล้ว Innistrad มันจะรอดได้อย่างไร... มันอาจจะไม่หลงเหลือสิ่งใดเลยก็เป็นได้
ทางเดียวที่ Sorin ในวัยยังหนุ่มแน่นคิดออกก็มีเพียงลดจำนวน Vampire ที่จะเกิดขึ้นมา หรือไม่ก็ต้องหาวิธีให้มนุษย์ไม่สูญพันธุ์ไปจากที่นี่เสียก่อน
เขาเข้าพบปู่ของเขา เพื่อแจ้งข้อค้นพบ ที่เขามั่นใจว่าปู่ที่สนใจแต่เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุ อาจจะไม่เคยตระหนักถึงผลกระทบที่เขาได้สร้างไว้
Edgar Markov ตั้งใจฟังข้อสรุปที่หลานชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาได้ค้นพบ และยังถามไถ่ถึงข้อกังวลอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งคู่ใช้เวลาพูดคุย แลกเปลี่ยนกันราวๆ 2 ชั่วโมง มันเป็นช่วงเวลาที่ Sorin ได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ อีกมากมายเกินกว่าที่เขาจะเตรียมตัวมา
“Sorin หลานรัก, หลานไม่เคยคิดหรือว่า ปู่จะคิดเรื่องเหล่านี้มาก่อนเรา?” Edgar ถาม
“แต่ปู่ครับ” Sorin แย้ง “ถ้าปู่เห็นปัญหาแบบเดียวกัน แล้วทำไมปู่ไม่หยุดเรื่องนี้ไว้ล่ะครับ? อนาคตเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้... เช่นเดียวกับความอมตะ, เราต้องยอมรับเรื่องนี้, Innistrad จะต้องรอ-”
“Innistrad จะต้องรอด, ใช่ แต่มีเพียงชาวบ้านเท่านั้นที่อยากจะท่องสิ่งนี้ให้ขึ้นใจ” Edgar โต้กลับ “พวกเรามีเวลาจะวางแผนได้ยาวนานหลายช่วงอายุคน, และคำตอบจะมาแก้ไขข้อกังวลของหลานเอง”
“แต่ปู่ครับ, เรื่องนี้มันรอต่อไปไม่ไ-”
“ไม่เลย... หลานกำลังมองเพียงช่วงสั้นๆ ของกาลเวลา” Edgar ตอบ ก่อนที่เขาจะหยิบปากกาขนนกจุ่มหมึก และขีดเขียนมันลงไปบนหนังสัตว์
ช่วงสั้นๆ งั้นเหรอ?
Edgar Markov
Sorin เลือกที่จะเชื่อคำแนะนำของ Edgar, เขาเชื่อว่าสุดท้ายแล้วคำตอบจะมาถึงเอง ต้องมองให้ไกลเกินกว่าวิธีแก้ปัญหาระยะสั้นๆ...
และมันก็กินเวลากว่า 6 พันปี ที่การมองภาพรวมในแบบฉบับของ Edgar ถึงจะเริ่มแสดงผล
มันเป็นเวลาที่ Sorin รู้สึกได้ทันทีว่ามันคือสิ่งที่ถูก ที่ควร และมันก็ตอกย้ำให้ Sorin รู้สึกโง่เขลาไปในเวลาเดียวกัน...
ถ้ามนุษยชาติต้องการผู้ปกป้อง เขาก็แค่มอบสิ่งนั้นให้
แม้ในช่วงที่คำตอบได้ฉายแสง มนุษย์แทบจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปแล้ว... มันคือการรักษา Innistrad ไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
แต่คำตอบนั้น ก็ไม่ได้ยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้พิทักษ์แห่ง Innistrad ได้พบกับความพ่ายแพ้ ความพ่ายแพ้ที่ส่งผลแม้แต่กับตัว Sorin เอง... มันทิ้งไว้แต่เพียงความขมขื่น
นั่นมันทำให้ความคิดในวัยเยาว์ย้อนกลับมาอีกครั้ง...
ถ้าหากปู่ Edgar คาดการณ์ได้ว่า Avacyn จะมาปรากฏเป็นผู้พิทักษ์... แต่สุดท้ายเธอก็ต้องจากลาไป
ถ้าเขาเห็นว่าหลานชายคนนี้มีดีกว่าคนอื่นๆ... Sorin อยากจะรู้เหลือเกิน ว่าปู่คาดการณ์ถึงราตรีนิรันดร์ไว้หรือไม่? ถ้าเขามีแผนไว้รอมันแล้ว... ปริมาณ Vampire ที่ไม่สมดุลกับมนุษย์ไปทุกวันๆ นี่ล่ะ?
มันไม่เกี่ยวเลยว่า อายุอานามของ Sorin จะยาวนานมากแค่ไหน... เขาก็ยังไม่พร้อมกับเหตุการณ์นี้
แรกเริ่ม เขาอยากจะเป็นเพียงผู้สังเกตุการณ์... รักษาแผลจากอดีตกาล คอยมองดูความวุ่นวายที่คลี่คลายตัวเอง และเหล่า Vampire ที่เหลือก็รู้ดี ว่า Sorin พร้อมจะทำอะไร ถ้าพวกมันล่าอย่างตะกละตะกลาม
ความกระหายเลือดเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะหายไปจากชีวิตของ Vampire การหักห้ามจึงกลายเป็นเรื่องแรกที่ต้องทำ
ถ้าคำนวนแบบคร่าวๆ มนุษย์จะเหลือเวลาราวๆ 1 เดือน ก่อนที่พวกเขาจะกลายไปเป็น Vampire, มนุษย์หมาป่า, วิญญาณ, หรือแค่ตายไปเฉยๆ
ในตอนนี้ปู่ Edgar หลับไหลนานเกินไปแล้ว... ถ้าปู่มีแผนสำหรับราตรีนิรันดร์ มันคงถึงเวลาที่ปู่และหลานจะต้องนั่งคุยกันอีก
Sorin เดินลงไปตามบันไดของคฤหาสน์ตระกูล Markov... บันไดที่แทบจะกลายเป็นซากปรักหักพังจากการปะทะระหว่างเขากับ Nahiri ลูกศิษย์ที่เป็นผลงานอันล้มเหลวของเขา
แต่อย่างน้อยๆ หอจดหมายเหตุของตระกูล Markov ก็ยังอยู่ในสภาพดี
อาจจะเพราะมันตั้งอยู่ในชั้นใต้ดิน มันจึงรอดผลจากศิลามากมายที่ทำให้คฤหาสน์แทบทั้งหลังบิดเบี้ยว และไร้ซึ่งใบมีดจากศิลามากมาย
เมื่อเขาเดินลงมาถึงชั้นใต้ดิน เปลวเพลิงวิญญาณก็ลุกโชนขึ้นมาให้แสงสว่าง
ขั้นบันไดที่ไร้ฝุ่นผง หรือแม้แต่แสงจากธรรมชาติที่สาดส่องเข้ามาถึง นั่นคงเป็นเพราะเวทย์มนต์ที่ Sorin ได้ร่ายขึ้นปกป้องหอจดหมายเหตุของตระกูลเอาไว้
เวทย์มนต์ที่เชื่อได้ว่า ถ้าหาก Innistrad จะล่มสลายลง หอจดหมายเหตุแห่งนี้ก็จะยังหลงเหลืออยู่ ราวกับเป็นพินัยกรรมตอกย้ำความงี่เง่าของตระกูล Markov เอง
สิ่งแรกที่จะต้อนรับการมาเยือนของ Sorin ก็คือชั้นหนังสือที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี, บรรดากองกระดาษที่รวบรวมองค์ความรู้ของดาวทั้งดวง, บันทึกของปู่ของเขาที่โดดเด่นด้วยการขลิบทอง และเก็บแยกออกมาอยู่ในหีบแก้วอีกที
ในบรรดาชั้นหนังสือมากมายนั้น 3 ตู้เปรียบได้ดั่งบันทึกส่วนตัวของ Sorin... บันทึกที่แทบจะถูกทิ้งไว้บนชั้นเฉยๆ มันประกอบไปด้วยเรื่องราวทั่วไป, การปรุงยา, ทหารศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงนักบวชจากลัทธิ Avacyn
ดูแลพวกเราด้วย ราวกับหนังสือเหล่านั้นจะส่งเสียงกลับมา
มันช่างน่าเหนื่อยหน่าย ที่ไม่ว่า Sorin จะไปที่ไหนก็ตาม ผู้คนทั้งหลายก็จะร้องขอความช่วยเหลือจากเขา
จนมันเกิดเป็นความวุ่นวายที่อยากจะแก้ไข ได้ถักทอขึ้นมาในชีวิตของเขา... แต่ที่ Innistrad, อย่างน้อยๆ Sorin ก็คิดว่าเขาเคยฟื้นฟูที่นี่มาก่อน... มันคงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนัก ถ้าเขาจะแก้ไขปัญหาที่บ้านเกิดของเขา ก่อนที่จะเดินทางข้ามดวงดาวอีกครั้ง
ช่วยพวกเราด้วย ผู้คนมากมายต่างร้องขอ
ข้าก็พยายามอยู่ Sorin ก็อยากจะตอบไปเช่นนั้นเหมือนกัน
เมื่อเดินผ่านชั้นหนังสือไป ก็จะพบกับภาพถ่าย, รูปปั้นเสมือน และคลังสรรพาวุธ ก่อนที่จะพบเข้ากับทางเดินที่แคบลงมา และยังคงเต็มไปด้วยรายละเอียดชวนค้นหาที่ตระกูล Markov ทิ้งไว้
Innistrad จะต้องรอด... คำที่ควรจะเก็บมันไว้ใช้ภายหลัง ถ้า Sorin อยากจะปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่ในความทรงจำของบ้านที่ไม่เคยต้อนรับเขาล่ะก็
และเขาก็เดินมาถึงโลงศพ
สำหรับ Vampire โบราณที่มีอายุมากเกินกว่าจะสนใจโลกรอบๆ ตัวของพวกเขาแล้วนั้น
พวกเขามักจะเลือกที่จะหลับไหลจนกว่าโลกรอบๆ ตัวของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปจนมันกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง... ซึ่งนั่นมันก็เป็นเรื่องของผู้อมตะ ที่ไม่สามารถเดินทางข้ามดาวเหมือน Sorin
เขาวุ่นวายกับการเดินทางข้ามดวงดาวไปมา เพื่อคอยดูแลดาวดวงอื่นๆ นอกเหนือไปจากที่ Innistrad การหลับไหลจึงไม่ใช่ตัวเลือกของเขา
มันทำให้ Sorin หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก... และเขาไม่คิดจะปิดบังมันเลยแม้แต่น้อย
เขากวาดตามองไปที่ชื่อของแต่ละโลงศพ... ทำไมกัน? ทำไมพวกเขาถึงไม่คิดจะลุกขึ้นมารับรู้โลกภายนอกกันบ้าง
สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเข้าสู่วิกฤติมันก็คือเลือดเนื้อเชื้อขัยของพวกที่นอนอยู่ในโลงนี่ไม่ใช่เหรอ?
ทำไมพวกเขายังมีหน้ามานอนหลับอย่างสบายใจ... แล้วปล่อยให้เขาต้องมาตามล้างตามเช็ดแทนเสียอีก
น่าเหนื่อยหน่ายชะมัด
Sorin ก็มีโลงศพของเขาเองเช่นกัน... สิ่งที่ไม่รู้ว่าจะมีไปทำไม... ในเมื่อเขาแทบจะไม่มีเวลาได้ใช้มัน
สิ่งเดียวทีทำให้ Sorin ไม่คิดจะพังโลงศพของเขาทิ้งไป ก็คงไม่พ้นความเกรงใจปู่ของเขา ที่อาจจะลุกขึ้นมา แล้วก็แขวะเขาด้วยการล้อเลียนว่าเขาเป็นเด็กน้อยไม่รู้จักโต
ที่ปลายสุดของห้องโถง ก็มีห้องเก็บหีบศพของปู่ Edgar อยู่ที่ตรงนั้น มันถูกแยกออกจากพื้นที่ด้วยประตูหินขนาดมหึมา
ปกติแล้ว Edgar จะตื่นง่ายมาก Sorin เขาจึงทิ้งหนังสือที่รวบรวมเหตุการณ์ต่างๆ ของ Innistrad ไว้
หรือถ้า Sorin ต้องการคำปรึกษาจริงๆ เขาก็จะเข้าไปปลุกปู่ของเขา, ทั้งคู่จะออกไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่น
แม้มันจะทำให้ Sorin รู้สึกเหมือนเป็นเด็กไม่รู้จักโต... แต่ข้อแนะนำของ Edgar ไม่เคยทำให้ Sorin ผิดหวังเลยซักครั้ง
Sorin the Mirthless
Sorin เดินเข้าไปในห้องนั้น, และปู่ Edgar คงนอนหลับไหลอยู่ในโลงศพของเขา ปกติแล้ว Sorin จะเตรียมตัวสรุปเรื่องราวให้ปู่ของเขาฟังที่โต๊ะทำงานอันหรูหราในห้องนั้น... แต่ในครานี้ ในห้องนั้นนั้น มันกลับว่างเปล่า
รูปปั้นที่เคยประดับประดาห้องนั้นก็หายไป, โต๊ะทำงาน, เก้าอี้ หรือมแต่ชุดชงชาที่ไม่เคยมีน้ำชาอยู่ก็หายไปทั้งหมด...
แต่นั้น มันก็ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ไม่ควรจะหายไปมากที่สุด... โลงศพของปู่ Edgar ไม่อยู่ที่นี่แล้ว
ความเกรี้ยวกราดเข้าครอบงำจิตใจของ Sorin ทันที... แต่กับจิตใจที่คุ้นเคยกับมันดี... เพียงไม่นานมันก็กลั่นออกมาเป็นเสียงหัวเราะ... มันกลายเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้
เพียงเมื่อวานนี้นี่เอง ที่เขาออกจากพื้นที่ของคฤหาสน์ เพื่อดูเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยตาของเขาเอง
และในช่วงเวลานั้นนั่นเอง ที่มีคนย่องเขาไปอุ้มปู่ของเขาไปพร้อมกับโลงศพ
Sorin วิเคราะห์หาทางแก้ปัญหา ก่อนที่จะได้ยินเสียงกระพือปีกใกล้ๆ เข้ามา กับกระแสลมที่บอกเป็นนัยๆ ว่าเขาไม่ได้มีมีผู้มาเยือนเพียงคนเดียว
Sorin หันกลับไปคว้าเอาต้นเสียง... มันคือค้างคาวหนึ่งตัว Sorin จัดการขยี้มันด้วยมือของเขาทันที ก่อนที่จะเห็นว่ามันนำซองอะไรบางอย่างมาด้วย
ถึงที่รักผู้เป็นที่สุดของหัวใจ Sorin Markov, ชายผู้จะจดจำวันนี้ไปตลอดกาล
ลายมือที่ Sorin คุ้นเคย
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่หักห้ามใจไม่ให้ขยำซองจดหมายนั่นทิ้งไป แต่ Sorin กลับเลือกที่จะเปิดมันออก
เพียงไม่กี่คำในจดหมายนั่นมันทำให้อารมณ์ที่หม่นหมองของเขายิ่งแย่ลงไปกันใหญ่
หากราตรีนิรันดร์ยังเหลือดวงจันทร์ไว้ส่องแสง แต่จดหมายนี่ มันไม่ต่างจากการคว้าดวงจันทร์ลงมาจากท้องฟ้าอันมืดมิด และไม่คิดจะนำมันไปคืนอีกเลย
Sorin โยนร่างของค้างคาวไว้ที่มุมห้องเก็บศพ ก่อนที่จะจ้ำอ้าวกลับขึ้นไปด้านบนของคฤหาสน์... ที่ๆ เขาได้ยินเสียงของผู้บุกรุกอีกกลุ่ม
“ระวังหน่อยสิ ปกมันทำมาจากหนังของมนุษย์เลยนะ”
เสียงของผู้หญิงที่ฟังแล้วคุ้นหู ดังกังวาลมาจากห้องสมุดของคฤหาสน์
เมื่อ Sorin เข้ามาถึง ก็พบกับกลุ่มผู้บุกรุกกำลังยืนล้อมโต๊อ่านหนังสือของเขาอยู่
บางคนในกลุ่มนั้น เป็นคนที่เขารู้จักอยู่แล้ว แต่ก็มีคนหน้าไม่คุ้นเข้ามาร่วมทีม
โจรสาวที่มีสายตาที่แหลมคม กับรอยยิ้มมุมปาก
จอมเวทย์แห่งเพลิง กำลังชูมือขึ้นเหนือหัว และทำหน้าเหมือนเธอกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง
Teferi ชายที่ทำให้ Sorin จะต้องตั้งคำถามกับตัวเองเสมอๆ ว่าเหตุใดกัน ชายที่ผ่านเวลามาอย่างยาวนานอย่างเช่น Teferi ถึงยังคงอารมณ์ดีได้อยู่... แฉกเช่นในเวลานี้ ที่เขากำลังพยายามกลั้นขำ
และยายหมาป่า Arlinn Kord ที่ยืนเท้าสะเอว พร้อมกับบ่นอะไรบางอย่าง โดยมีทหารศักดิ์สิทธิ์หญิงที่มาด้วยกันในคราวก่อน ยืนอยู่ข้างๆ
ผู้คนมากมายมายืนอัดแน่นกันอยู่ในห้องสมุดของเขา, ในส่วนที่เก็บข้อมูลสำคัญของตระกูลของเขา แล้วยังมาทำตัวเป็นเด็กที่ตื่นเต้นกับหนังสือวิชาประกอบศพที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งใน Innistrad... จริงอยู่ว่ามันเป็นหนังสือที่ปกทำมาจากผิวหนังมนุษย์ แต่จะคาดหวังอะไรน้อยกว่านี้จากหนังสือวิชาประกอบศพที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งกันล่ะ?
ใจหนึ่งของ Sorin ก็อยากกระชากหลอดเลือดของพวกนี้ออกมา แล้วแปลงไปเป็นผีดิบรับใช้ให้หมด
แต่อีกใจหนึ่ง... ฝั่งฝ่ายที่ยังหลงเหลือความอดทนอยู่ ที่ยังมองเห็นเหตุผลของการมาถึงที่นี่ โดยกลุ่มบุคคลเหล่านี้
“พวกแกมีเวลา 1 นาที, บอกเหตุผลที่บุกรุกที่นี่มาซะ” Sorin คำราม
อาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ใส่ใจ หรือระวังภัย เพราะนอกจาก Arlinn และ Teferi พวกที่เหลือก็ยังคงสนใจกับกองหนังสือมากมายตรงหน้า
Teferi หันมาด้วยท่าทางสบายๆ จนชวนให้ Sorin หงุดหงิด
“ฉันว่าคุณรู้ดี ว่าเรามาที่นี่ทำไม” Arlinn ตอบ และสายตาของเธอก็ไปเจอกับจดหมายในมือของ Sorin “ว่าแต่... ไอ้นั่นคืออะไร?”
Sorin เลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้น.... เพราะเขาเกลียดที่ Arlinn สวนกลับมาได้อย่างเข้าเป้า... เขารู้ดีว่าราตรีนิรันดร์มันส่งผลให้เหล่ามนุษยชาติอยู่ในสภาพที่เลวร้าย
และ Arlinn ที่ใส่ใจกับความเป็นไปของมนุษย์ย่อมเข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่แล้ว
มันก็คงเป็นเรื่องที่ดี ที่จะจริงใจต่อกัน
Sorin โยนจดหมายนั่นไปบนโต๊ะ โจรสาวมือไวคว้ามันไปเปิดอ่าน ก่อนที่นักเวทย์พลังไฟจะตามมาเกาะไหล่อ่านเหมือนกับเด็กที่อยากรู้อยากเห็น
ก่อนที่ Chandra จะไม่สามารถปกปิดความตกใจบนใบหน้าได้
“มันคือจดหมายเชิญ” Sorin ตอบ
“จดหมายเชิญ?” Arlinn ทวนกลับ ก่อนที่จะชะโงกหน้าเข้าไปอ่านจดหมายนั่น แต่ก็ถูกบังโดยคนอื่นๆ ไปแล้ว
“เชิญไปงานแต่ง... งานของ Olivia Voldaren” ชื่อที่ Sorin ไม่อยากจะเอ่ยออกมาด้วยซ้ำ “ยายนั่นอุ้มปู่ของข้าไป... และถ้าเขาทั้งคู่แต่งงานกัน มันจะเกิดเป็นตระกูล Vampire ที่ใหญ่ที่สุดใน Innistrad, และแม่นั่นจะครองทั้ง Innistrad”
Sorin มอง ภาพของ Arlinn คว้าที่เอาจดหมายเชิญจากมือ Chandra เห็นเธออ่านมัน... เธออ้าปากค้าง... และเห็นสายตาที่เธอมองมาด้วยความประหลาดใจที่เขาไม่ได้โกหก
ก่อนที่แววตานั้นจะเปลี่ยนไปเป็นความมุ่งมั่นจนน่าประหลาดใจ “งั้นเราก็ต้องไปถล่มงานแต่งกันแล้วล่ะ”
Magic Story By K. Arsenault Rivera