- ใจกลางความวุ่นวาย -

 

กฎหมายคืออภิสิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้มีอำนาจเหนือความวุ่นวาย

แต่คุณจะมีเพียงกฏ โดยไร้ซึ่งความวุ่นวายไม่ได้... และก็เช่นกัน คุณจะปล่อยให้มีเพียงความวุ่นวาย โดยไร้กฏระเบียบไม่ได้เช่นกัน

การฝึกฝนทั้งชีวิตของ Adeline พร่ำสอนหลักการนี้เสมอมา; เหล่าทหารศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะต้องพร้อมให้ความเที่ยงธรรม เพราะโลกใบนี้มันเต็มไปด้วยความวุ่นวาย

ท่ามกลางภยันตรายเกินคำบรรยาย, ท่ามกลางวงล้อมของพายุแห่งความวิปริต สถานที่เหล่านี้ คือที่ๆ เหล่าทหารศักดิ์สิทธิ์ต้องรู้สึกมั่นใจที่สุด เพราะมันคือสถานที่ ที่ผู้คนต้องการพวกเขามากที่สุด

แต่นั่นก็คือสิ่งที่ค่ายฝึกได้สั่งสอนมา... หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่ผ่านมา Adeline ก็เริ่มตั้งคำถามว่า สิ่งที่ถูกพร่ำสอนมา มันจะทำให้เธอไปถึงเป้าหมายได้จริงๆ หรือ?

 

ยังมีคนมากมายยังต้องการความช่วยเหลือ นั่นคือสิ่งที่เธอคิด... มันเป็นสิ่งเดียวที่เธอคิด, มันกลายเป็นแรงผลักดันที่ช่วยให้เธอผ่านพ้นคืนอันโหดร้าย, มันกลายเป็นความคิดเดียวที่ประคองให้เธอยังรักษาลมหายใจ...

สัตย์สาบานศักดิ์สิทธิ์ที่เธอเคยกล่าว... เพื่อปกป้องประชาชนแห่ง Innitrad, ผู้คนจะส่งแรงกำลังมาให้เธอในยามที่ร่างกายของเธอเหนื่อยล้า

 

แต่กับ Chandra แล้ว การอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ก็ไม่ต่างจากการนั่งเล่นอยู่ที่บ้าน

ในชั่วขณะที่ Vampire ตวัดกรงเล็บของมันเข้าปะทะกับโล่ของ Adeline, Chandra ก็ม้วนข้ามโต๊ะไปหามุมเหมาะๆ, เมื่อตาสบตา ท่ามกลางเสียงโหยหวน ท่ามกลางเสียงสบถ และจบลงด้วยเสียงโอดครวนครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นฤทธิ์ของ Vampire

Chandra ยังคงยิ้มมุมปากออกมาได้, เปลวเพลิงที่โอบล้อมร่างของ Vampire สาวคนนั้นมอดลง, ทิ้งไว้เพียงเถ้าถ่าน และเครื่องประดับที่ยังทนไฟอยู่ตรงนั้น, Adeline ผ่อนลมหายใจออกมา

Chandra ส่งยิ้มกลับ “ค้อนกับทั่ง เข้ากันดี๊ดีใช่ป่-?”

Adeline ดึงร่างของ Chandra กลับมาก่อนที่เธอจะจบประโยค

Adeline ยกโล่ขึ้นมาปัดป้องขวดไวน์ที่พุ่งตรงมาได้ทันเวลา, เศษแก้วแตกกระจายเมื่อมันกระทบเข้ากับโล่ไม้แข็งๆ, ของเหลวสีแดงสาดกระเซ็นข้ามมาเปราะเปื้อนหมวกเหล็กของ Adeline

“อันนี้ตอนฉันเป็นทั่งสินะ” Adeline ตอบและเธอก็รู้สึกได้ถึงแรงบีบที่เอวของเธอ แม้มันจะส่งผ่านชุดเกราะหนาๆ มา

นี่คงเป็นการขอบคุณในแบบของ Chandra “นี่ อย่าทำเสียงน้อยใจแบบนั้นสิ, พวกเราเอาอยู่น่า”

Adeline และ Chandra ผละออกจากกัน ในจังหวะที่ทาสของพวก Vampire วิ่งเข้ามา หมายจะโจมตีด้วยโค้มระย้าในมือ

แต่เพียง Chandra ใช้พลังไฟของเธอ ร่างของเขาก็กระเด็นออกไป เหลือเพียงเสียงของโคมระย้าที่กระแทกพื้น... กระนั้น ไฟของเธอก็ดันไปติดกับโต๊ะไม้ขนาดใหญ่... และมันไม่ใช่เรื่องดีเลย

ที่โต๊ะนั้น รวมถึงบริเวณโดยรอบ ยังเต็มไปด้วยการปะทะกันระหว่างมนุษย์ และ Vampire

เปลวเพลิงที่สร้างความตระหนกเพียงเล็กน้อย แต่มันก็มากพอให้ Vampire บางตัวได้โอกาส, Adeline เห็น Vampire ตัวหนึ่ง จ้วงแทงหลังชายอีกคน ก่อนที่จะดึงร่างของเขาเข้ามาจูบ... ที่น่าแปลกก็คือ ชายคนนั้นกลับแสดงสีหน้าพึงพอใจกับความตายที่มาเยือน

ความวุ่นวายจากเปลวเพลิงที่เข้ามาถึง ทำให้เหตุการณ์รอบๆ ชวนสับสนไปหมด

 


Light Up the Night

 

ทหารม้าศักดิ์สิทธิ์สองนายเข้าร่วมศึก ตามมาด้วยหนุ่มน้อยขี่หมูตามเข้ามา ทั้งสามเข้าโจมตี Vampire จากตระกูล Falkenrath ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด

ปีศาจร่างยักษ์ ใช้เสาประดับมาเป็นอาวุธ มันเหวี่ยงเข้าฟาดกลุ่มของชาวนา ก่อนที่ Sigarda จะเข้ามาขัดขวางไว้ได้

ทหารยาม Vampire บั่นคอของนักรบฝ่ายมนุษย์ลง, หัวของเขาถูกโดยนกลับไปที่หนุ่มน้อยขี่หมู

ก่อนที่โลหิตสีแดงจะสาดกระเซ็นออกมาจากคอของทหารยาม Vampire คนนั้น ร่างของเขาทรุดลงจมกองเลือดบนพื้นหินอ่อน, ร่างสีเรืองม่วงๆ ของ Kaya ยืนตระหง่านอยู่ด้านหลัง

“เห็น Arlinn มั้ย?” Adeline ถาม

Kaya ส่ายหน้า “พวกเรากำลังตรึงแนวป้องกันอยู่”

“เอ่อ... เจ๊ Kaya ตอนนี้เราไม่ค่อยเป็นแนวป้องกันแล้วนะ เราเหลือแ-” Chandra พูด และหยุดไปกลางคัน

เพราะเสาต้นยักษ์ กำลังโค่นมาทิศที่พวกเขากำลังคุยกัน, Adeline รีบวิ่งเข้ากระโจนเพื่อผลัก Chandra ให้พ้นทาง...

ซึ่งเธอก็ทำมันได้สำเร็จ เพราะเสาต้นนั้นค้างอยู่กลางอากาศได้นานมากพอ เวทย์มนต์แห่งกาลเวลาได้สัมฤทธิ์ผลของมันแล้ว

“อุ้มได้สวย AdelineTeferi เจ้าของเวทย์กาลเวลาพูดขึ้น ก่อนจะก้มตัวหลบวิถีของขวานเล่มเขื่อง เขากระแทกคฑาลงที่พื้น ทหารยาม Vampire ผู้เหวี่ยงขวานเมื่อครู่ หยุดนิ่งกลางคัน นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ทหารศักดิ์สิทธิ์ตามมาจัดการได้อย่างสบายๆ

“ทุกคน กระจายตัวออกไป เราตั้งแนวป้องกันไว้ได้ไม่นานนักหรอก” Teferi ออกคำสั่ง

Arlinn รู้ดีว่าเธอต้องทำอะไร” Kaya พูดขึ้น “เธอทำมันสำเ-”

Avacyn ยังปกป้องประชาชนพร้อมๆ กับพี่น้องนางฟ้าของเธอ” Adeline แทรก “เราไม่ควรปล่อยให้เธออยู่ตัวคนเดียว, เราต้องไปช่วยเธอ”

“แต่เราแยกกันไม่ได้แล้ว” Chandra ตะโกนขึ้นมา “กำลังเสริมของฝ่ายนู้นเข้ามาแล้ว”

เหล่าทหารยาม Vampire พร้อมโล่ ตรึงกำลังก้าวเดินเข้ามาเป็นแถว, Chandra เตรียมพร้อมเวทย์เพลิงของเธอ

Adeline ย่อตัวลงเข้าสู่ท่าพร้อมรบ

กฎหมายคืออภิสิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้มีอำนาจเหนือความวุ่นวาย สิ่งที่เหล่าทหารศักดิ์สิทธิ์ต้องการในตอนนี้ เหลือเพียงพายุแห่งความวิปริต

ทหารยาม Vampire ในแถวหลัง ซัดหอกเข้ามา

Adeline ยกโล่ขึ้นมารอรับแรงปะทะ...

แต่มันไม่เกิดขึ้นจริง

 

หมาป่าขนาดยักษ์กระโดดขวางหอกเล่มนั้น หอกที่พุ่งเข้าใส่กล้ามเนื้อที่มัดแน่น และผิวหนาๆ ก็กระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย มันหันหลังกลับมา คำรามในลำคอด้วยเสียงทุ้มต่ำจนร่างของ Adeline สะเทือน

อุ้งเท้ามหึมาของมันเหยียบกระแทกพื้น และส่งเสียหอนก้องกังวาล

หมาป่าอีก 4 ตัว ที่ขนาดตัวตามปกติกระโจนทะลุหน้าต่างเข้ามา... และตามมาด้วยหมาป่าอีกนับไม่ถ้วน ทั้งจากช่องหน้าต่าง และประตูที่เปิดทิ้งไว้

แต่ทว่า... หมาเหล่านี้มาจากไหนกัน? ก่อนหน้านี้พวกมันแทบจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เทศกาล Harvesttide... แต่ตอนนี้ มันกลับเข้ามาขวางระหว่างมนุษย์และผีดูดเลือด

“เอ่อ... มีใครเชิญพวกเขามาป่ะเนี่ย?” Chandra ถามเพื่อนๆ ของเธอ

ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากหมาป่าตัวยักษ์ตัวนั้นหันมาทางที่พวกเธอยืนอยู่ แขนนั่น... ไม่สิ แผลเป็นนั่น มันคุ้นตา Adeline เป็นอย่างมาก...

มันคือแผลเป็นของ Tovolar

“มาช่วยงั้นหรือ?” Teferi ถามขึ้นมา

หมาป่าตัวนั้นผยักหน้าตอบ, ส่วน Kaya ก็ชี้นิ้วไปทางประตูบานหนึ่งArlinn ไปทางนั้นน่ะ”

Tovolar พุ่งทะยานออกไปทันทีที่สิ้นประโยค กระโดดขึ้นโคมระย้า แกว่งตัวไปทางประตูนั่น

 

ในช่วงโมงยามแห่ง Travails, ความไว้วางใจในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแทบหายไปสิ้น คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่คุณคุ้นหน้า จะร่างระเบิดกลายเป็นหนวดปลาหมึก หรือเปลี่ยนร่างเป็นแมลงร้าย

ในโมงยามนี้ ยังไม่แย่เท่าครั้ง Travails... แต่กับ Adeline เอง เธอก็ไม่ได้ไว้ใจพวกหมาป่าได้อย่างเต็มร้อยอยู่ดี

 

- มุ่งหน้า -

 

ความมืดเป็นสิ่งที่ Sorin Markov คุ้นเคยเป็นอย่างดี... เป็นเวลานับพันปี ที่ความมืดมิดคือเพื่อนคู่ใจ

ในเวลานี้ ที่ร่างของเขากำลังจมลงในบ่อเลือด... ความมืดมิดอาจจะเป็นเพื่อคนเดียวที่เขาเหลืออยู่

จอมเวทย์ผู้เดินทางข้าม Plane ทั้งหลายที่เคยรู้จักกันมา ก็... ตายไปนานแล้ว, หรือไม่ก็ถูกกาลเวลาเปิดเผยด้านมืดของตัวเองออกมา...

Nahiri, ลูกศิษย์สาวที่เขาเคยเชื่อใจ... กลายเป็นคนที่กักขังเขาไว้ในศิลา... ปล่อยให้เขาต้องทนดูดวงดาวของตัวเองแหลกสลายไปกับตา

Avacyn, งานสร้างสรรค์ที่เขาภาคภูมิใจ, ความหวังที่จะฝากฝังอนาคตไว้กับความสมบูรณ์แบบเพียงหนึ่งเดียว... แต่เขากับต้องฝืนทนทำลายเธอทิ้ง... ความเจ็บปวดที่ฝากแผลลึก แผลที่แม้แต่พลังของ Vampire ก็ไม่อาจรักษาได้... แผลเป็นที่ติดตรึงในหัวใจ

 

ในเวลานี้...

เลือดที่โอบล้อมร่างของเขาไหลเข้าชนเปลือกตาที่ปิดอยู่... เพียงแค่เข้าอ้าปาก พลังจากเลือดมากมายก็พร้อมจะเติมเต็มเขา... และเขาก็พร้อมจะเดินทางข้ามดวงดาวอีกครั้ง

แต่แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา? ระยะเวลากว่า 7,000 ปี ที่กำลังต่อต้านความนึกคิดของเขา... เขายังปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปลึกเรื่อยๆ

มันจะได้อะไรขึ้นมา?

เขาฝืนคิดหาเหตุผล... มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่สิ... คนแบบเขาต้องมองภาพกว้างๆ ไม่ใช่เพียงภาพแคบๆ ปู่ของเขาพร่ำสอนแบบนี้มาโดยตลอด

ปู่ของเขา ที่เลือกจะแต่งงานกับ Olivia เพื่อผลประโยชน์... ปู่ของเขาที่พึ่งจะโยนเขาลงมาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน, บาดแผลที่ฝากฝังไว้ที่ร่างของ Sorin มันก็เป็น Edgar ที่สร้างมัน... แต่ Sorin กลับยังเคารพรักปู่ของเขามานับพันปี

หรือมันจะเป็นแผนของ Edgar มาตลอดกันแน่?

หรือ Sorin เป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง?

ปล่อยให้เด็กน้อยคนหนึ่งใช้วลาพูดคุยด้วยนานนับชั่วโมง ปล่อยให้เด็กน้อยคนนั้นทำตามใจ...

 

มองภาพรวม อย่ามองเพียงมุมแคบๆ

ใช่แล้ว... เขามองเห็นภาพรวมแล้วจริงๆ

เขาแอ่นอกของเขา อ้าปากเพื่อลิ้มรสเลือดที่โอบล้อมร่างของเขาเอาไว้

รสหวานๆ เหนียวๆ และชวนให้มึนเมาราวไม่ต่างจากไวน์ ทะลักล้นเข้าร่างกาย, ร่างกายที่กำลังซ่อมแซมตัวเอง, เส้นเอ็นที่ฉีกขาดผสานเข้าหากัน, กระดูกที่หักร้าว ขยับลั่นเพื่อกลับเข้าที่ทาง, กล้ามเนื้อขยายตัวรับพลังที่เคยจะดึงให้เขาจมลงอยู่ความตาย... บัดนี้มันให้เรี่ยวแรงมากมายกลับมา

Sorin เริ่มออกปืน ทุกการเอื้อมมือ ร่างกายของเขาก็ซ่อมแซมตัวเองไปเรื่อยๆ ปากแผลเริ่มปิดสนิท, จนเขาส่งตัวเองกลับขึ้นมายังปากเหวได้อีกครั้ง, ความมืดมนและความแคลงใจได้หายไปจากสมองของเขาจนหมดสิ้น

สู่เป้าหมาย... สู่ห้องบอลรูม... ย้อนไปสู่ที่ๆ Edgar หนีออกมา

 


Edgar Markov

 

แต่ละย่างก้าวของ Sorin ถูกขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณนักล่า, ผ่านห้องสำรองเลือด, ผ่านห้องโถงที่อื้ออึง, ความกระหายเลือดบอกให้เขาหยิบดาบสองมือที่ตกอยู่ขึ้นมา

เสียงของเหล็กปะทะกับเหล็ก ระคนกับเสียงร้องครวญครางของผู้เสียเปรียบในการต่อสู้, เสียงกระพือปีกของนางฟ้า พ้องประสานชวนให้หงุดหงิด และเกรี้ยวกราด พอๆ กับเสียงหอนของหมาป่าในบริเวณพื้นที่ของตระกูล Voldaren

มันคงทำให้ Sorin หงุดหงิด... ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อวาน

แต่ตอนนี้ มันกลับให้ความรู้สึกเติมเต็มจนหน้าขนลุก... กาลเวลาอันยาวนาน ที่เหล่า Vampire ได้วางรากฐานเพียงเพื่อจะช่วงชิงเอาอำนาจอันหอมหวานมาเป็นของตนเอง...

ถึงมันจะเป็นธรรมชาติของพวกเขา, ไม่ต่างจากเหล่าหมาป่าที่มีธรรมชาติในการออกล่าเป็นฝูง... และถึงเวลาที่พวกหมาป่าจะโค่นล้มตัวดูดเลือดกระหายอำนาจพวกนี้

แม้ว่าตระกูล Markov ของ Sorin จะมีห้องเต้นรำเช่นที่นี่... แม้ว่าเสียงที่ไร้ความสอดประสานจะตีกันอยู่ แต่มันก็เข้ามายังโสตประสาทของเขาเพียงแค่เสียงกระซิบเท่านั้น...

มันไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจอีกต่อไปแล้ว

 

Sorin เดินเข้าปะทะความวุ่นวายตรงหน้า ลูกธนูบินแหวกอากาศข้ามไหล่ของเขาไป, เขาคว้ามันกลางอากาศ ก่อนที่จะปักมันเข้าไปที่คอของทหารยาม Voldaren

มันทำให้เขาหายใจติดขัด ส่งเสียงครืดคราดออกมา, Sorin บิดศรออกจากคอของทหารคนนั้น

“เงียบซะ”

ร่างของทหารยามร่วงลงไปกองกับพื้น, แต่ Sorin ก็ไม่ได้ใส่ใจ... เขามองหาเพียง Edgar

ในวินาทีนี้ แม้แต่ Olivia ยังไม่ใช่เรื่องที่เขาจะใส่ใจ

จริงอยู่ ที่เธอเป็นคนจัดงานแต่งบ้าๆ นี่ขึ้นมา, แต่ Edgar ก็เป็นคนที่ให้ความร่วมมือกับเธอ... Edgar ขัดขวางทุกๆ อย่างเพื่องานแต่ง...

Edgar ที่เลือกจะขับไสหลานชายของเขา... เพื่อใช้เป็นเพียงเครื่องมือ... เพื่อใช้เป็นเพียงเบี้ยหมาก... เพื่อใช้เป็นเพียงบันไดสู่อำนาจ

และ Sorin ก็พบปู่ของเขา

ชายชราที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของ Teferi และบรรดาพันธมิตรของเขา

ชายชราที่มีเหล่านักดวล Markov คอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ

ชายชราที่ ควงดาบสองมือราวกับชายฉกรรจ์... แยกเขี้ยวส่งยิ้มด้วยความพึงพอใจ กับแววตาราวกับปีศาจร้าย กล้ามเนื้อขมึงตึง...

Sorin ไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าปู่ของเขาเป็นสัตว์ร้ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือ Edgar เป็นปีศาจร้ายมาตลอดเวลากันแน่?

ทหารยาม หรืออะไรก็ตามที่เข้ามาขวางระหว่าง Sorin และ Edgar ก็เหมือนหาเรื่องตายใส่ตัว... ชิ้นส่วนของร่างกายกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ... และ Sorin ยังคงย่างสามขุมเข้าไปหา Edgar

 


Teferi, Who Slows the Sunset

 

Edgar ฟันดาบใส่ Teferi, แม้เขาจะใช้เวทย์ชะลอเวลาได้ทัน แต่มันก็แทบจะทำให้เขาป้องกันเกือบไม่ได้, ทหารศักดิ์สิทธิ์เข้าปะทะกับนักดวลดาบของ Markov, เพลิงของ Chandra ทำได้แค่เหลือบชุดสุดหรูของ Edgar, วิญญาณอีกสองร่างปรากฏกายออกมาโจมตีจุดตายของนักดวลที่ไม่ทันระวังตัว

กระแสของสงครามได้เปลี่ยนไปแล้ว, และ Edgar เองก็คงรับรู้มันได้ ไม่ต่างจาก Sorin

เมื่อปู่เห็นหน้าหลานชายที่เขาพึ่งจะโยนลงบ่อเลือดไปเมื่อครู่, ใบหน้าของ Edgar ที่เป็นดั่งสัตว์ร้าย ก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจสิ่งที่เห็นตรงหน้า

“แกอีกแล้วเรอะ?”

Sorin โจมตีด้วยความเร็วระดับที่ไม่มีสายตาของมนุษย์คนไหนจะทันมอง

แต่การปัดป้องของ Edgar ก็เช่นกัน

มันทิ้งไว้เพียงภาพเบลอๆ, เสียงของดาบปะทะกัน และประกายไฟ

การรุกคืบของ Sorin นั้นช่างโหดร้าย, ไร้ช่องว่างให้โต้กลับ ไม่มีความเห็นใจหลงเหลืออยู่ในนั้น

ไม่ว่า Edgar จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่การดวลดาบนั้น คือศาสตร์ และศิลป์ที่ Sorin สั่งสมประสบการณ์ และชำนาญกว่าอย่างเห็นได้ชัด

และในตอนนี้... ไม่ว่าใครเข้ามาช่วย Edgar ก็จะพบจุดจบแบบไม่ทันได้ตั้งตัว, ส่วน Vampire ตัวอื่นๆ นั้น Sorin ไม้แม้แต่จะเจียดประสาทสัมผัสไปรับรู้... เพราะเขาเชื่อว่าคนอื่นๆ... หรืออะไรก็ตาม จะช่วยหยุดพวกนั้นเอาไว้

สุดท้ายแล้ว ก็เป็น Edgar ที่พลาดท่า, เขาลงไปนั่งกับพื้น ดาบในมือหล่นลงกระทบพื้น

“Sorin” Edgar พูดออกมา “แกต้องยอมทำคว-”

ปลายดาบของ Sorin ถูกพักไว้ที่คอหอยของ Edgar ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ

“ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว Edgar... มองภาพรวม อย่ามองแคบๆ, การเสียสละ, พลังอำนาจ... ข้าเข้าใจทุกอย่างในความคิดของแก”

และ Sorin ก็เข้าใจดี ว่าการจะสังหารใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องยากเลย... เพียงแค่การบิดข้อมือ, สู้กับการขัดขืนเพียงชั่วครู่, การดิ้นรนของลมหายใจสุดท้าย - แล้วทุกอย่างก็จะจบลง

แต่บางอย่างกลับยับยั้งเขาไว้

อาจจะเป็นมือที่มองไม่เห็นของนางฟ้าที่เขาเคยถวิลหา

“ออกไปให้พ้นหน้าข้าซะ!” Sorin ขมวดคิ้วก่อนที่จะตะเพิด Edgar ออกไป

ด้วยน้ำเสียง และพลังที่ Sorin พึ่งจะสำแดงไป, Edgar ไม่รีรอที่จะกระโจนออกไป ราวกับแมวน้อยขี้กลัว... เขาหนีพ้นสายตาของ Sorin... ในขณะที่ Sorin ยังคงนิ่งงัน

สายตาจ้องมองยังพื้นที่ว่างเปล่า... ที่ๆ Edgar ควรจะทิ้งไว้เพียงแค่ชื่อ

“เป็นไรหรือเปล่าลุง?”

น่าจะเป็นเสียงของยายนักเผาจอมป่วน, Sorin แอบแปลกใจถึงความกังวลในน้ำเสียงของเธอ... เพราะโดยปกติ เธอก็ดูไม่ค่อยจะถูกกับเขาเสียเท่าไหร่

“ข้าไม่เป็นไร” Sorin ตอบ... แม้เขาจะต้องโกหกออกไปก็ตาม, เขาเช็ดดาบของเขา รอบๆ ตัวเหลือเพียงเศษซากจากการปะทะ และศพของ Vampire มากมาย

“ผมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากนะ Sorin... แต่คุณตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วล่ะ” Teferi พูด

Sorin มองไปที่ Teferi... เขาจะรู้อะไร? เขาเป็นใครถึงมาตัดสินถูกผิด?... แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในวันนี้... มันก็ไม่ต่างจากประสบการณ์ที่ Teferi เคยผ่านมา...

ทั้งเขาและ Teferi ต่างมีอายุมาอย่างยืนยาว...

ทั้งคู่ต่างผ่านการสูญเสีย... และอาจจะเป็น Teferi ด้วยซ้ำ ที่ผ่านการสูญเสียเกินกว่า Sorin จะจินตนาการได้

แม้ว่าคนอื่นๆ อาจจะไม่มีชีวิตที่ยืนยาวได้อย่างเช่น Teferi หรือ Sorin... แต่สิ่งที่พวกเขาทุกคนเชื่อมโยงถึงกันและกัน นั่นก็คือความมุ่งมั่นที่จะออกผจญภัยยัง Plane อื่นๆ

“ขอบคุณ” Sorin ตอบกลับ... และนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขานึกออก

 

- ถ่วงดุลอำนาจ -

 

ผืนป่าอันแสนสงบ

กองกิ่งไม้ที่อยู่ใต้อุ้งเท้า, ใบไม้ที่ร่วงหล่นเป็นวงกลมล้อมรอบตัว และสายลมที่ไหลผ่านขนไป

ทั้งเจ้า Boulder และ Patience วิ่งเคียงข้าง Arlinn, เจ้า Streak ยังคงวิ่งนำหน้าฝูงเสมอๆ เช่นเดียวกับเจ้า Redtooth ที่คอยวิ่งปิดท้าย

 

มันช่างแสนเจ็บปวดเหลือเกิน ที่ทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นเพียงความฝัน...

ความอิสระในภาพฝัน ที่ฝูงของเธอออกวิ่งไปด้วยกัน... แต่ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็ยังตอกย้ำเธอเสมอ... พวกมันทิ้งเธอไปแล้ว...

เธอเหลือตัวคนเดียว

Arlinn

หมาป่านั้น มีหลากหลายวิธีที่จะสื่อสาร, แต่ชื่อของ Arlinn นั้น เป็นสิ่งที่หมาป่าของเธอหลีกเลี่ยงจะเอ่ยออกมา... เธอขมวดคิ้ว เธออยากจะให้พวกมันช้าลงเสียหน่อย, แต่พวกมันยังคงออกวิ่งไม่หยุดฝีเท้า

Arlinn ถึงเวลาออกล่าแล้วนะ”

เสียงนั้นดังก้องไปมาราวกับระฆังโบสถ์ กลับทำให้เธอปวดหัวแทบระเบิด... เธออยากให้เสียงนั่นเงียบลงเสียที

แต่แล้ว... อะไรอุ่นๆ ก็มาเคียงข้างเธอ, เสียงหัวใจที่เต้นระรัวใกล้เข้ามา พร้อมๆ กับกลิ่นที่คุ้นเคย

Arlinn ลืมตาของเธอขึ้นมา, Tovolar คือภาพที่เธอเห็น... ร่างของเขายังไม่หายดีจากการต่อสู้กันเมื่อครั้งก่อน แต่สีหน้าท่าทางที่อ่อนโยนของเขาช่วยบรรเทาความน่ากลัวของตัวเขาลงไปได้มาก

“นั่นนายเหรอ?” Arlinn ถามขึ้น

“เธอเรียกหาความช่วยเหลือ” คำตอบเสียงอู้อี้จากปากของหมาป่า

และข้างกายเธอก็มีเจ้า Boulder ที่นั่งอยู่ข้างๆ... ฝูงของเธอมาอยู่ที่นี่ทั้งหมด... เท่านี้ก็เติมเต็มความสุขของ Arlinn จนเธอลืมความเจ็บปวดทางร่างกายไปหมดสิ้น

Arlinn โอบกอดพวกมัน และพวกมันก็เขามาคลอเคลียเธอ บ้างก็เอาจมูกของมันมาหอมเธอ พวกมันก็ดีใจที่ได้พบ Arlinn ไม่ต่างจากเธอเลย

แต่ความสุขนั้นก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อมันพาสติที่ขาดหายไปกลับมา... และเมื่อสติกลับมา มันก็พาเอาภาพเหตุการณ์ในอดีตกลับมาด้วย

มันคือ Olivia ที่ทำให้เธอตกอยู่ในสภาพนี้... Olivia ที่มีกุญแจ Moonsilver อยู่กับตัว

เจ้า Boulder กับ Patience ช่วยกันพยุงให้ Arlinn ลุกขึ้นอีกครั้ง, เธอเปลี่ยนเป็นร่างหมาป่าทันที เพราะเธอรู้ว่าร่างของมนุษย์ ไม่อาจช่วยเธอตามหา Olivia ได้แน่นอน

และแผลมันก็ไม่อาจรักษาตัวเองได้ ถ้าเธอยังคงอยู่ในร่างของมนุษย์ต่อไป

 

กระนั้น มันก็ยังเหลืออีกสิ่งหนึ่งที่รบกวนจิตใจของเธอ...

“Tovolar” Arlinn พูดขึ้น “สิ่งที่คุณทำมันไม่เปลี่ยนความสัมพันธ์ของเราหรอกนะ, สิ่งที่คุณเคยท-”

“ไว้เราค่อยคุยกัน” เขาตอบด้วยสำเนียงอู้อี้ด้วยปากของหมาป่า แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนร่างไปมาได้ง่ายดายเหมือนกับ Arlinn ก็ตาม “หลังจากทุกอย่างจบลง, เรามาจบเรื่องนี้กัน... ในแบบของฝูงหมาป่า”

คำนั้น ทำให้ Arlinn ถึงกับขนลุก, Tovolar ไม่ใช่สมาชิกในฝูงของเธอ... ไม่เหมือนกับเจ้าหมาป่าที่มาด้วยกัน...

แต่เพียงเท่านั้นก็น่าจะมากพอที่จะจบเรื่องระหว่างเธอกับเขา... ถ้าปล่อยให้เรื่องมันค้างคา นอกจากตระกูล Voldaren จะเป็นนายเหนือหัวของเหล่า Vampire แล้ว, พวกมันยังอาจจะได้ควบคุมเหล่านางฟ้า... ซึ่งนั้นมันไม่ใช่เรื่องดีกับหมาป่าตัวอื่นๆ เช่นกัน

แต่เรื่องนั้น ก็ต้องเอาไว้ก่อน... ตอนนี้เธอต้องตามกลิ่นของ Olivia ไป, มันไม่ใช่เรื่องยาก เพราะกลิ่นของเธออบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ และรอยเลือดจากบาดแผลของเธอก็ยิ่งเป็นเบาะแสชั้นดี

Arlinn ไม่ต้องเอ่ยปากให้ Tovolar ตามเธอมา

เธอไม่ต้องบอกกับฝูงหมาป่าของเธอเช่นกัน พวกเธอออกวิ่งผ่านห้องหับต่างๆ ของปราสาท Voldaren, เลือดที่พุ่งพล่านส่งไปกระตุ้นประสาทสัมผัสที่หูจนมันปวดตุบๆ

แม้มันจะเจ็บปวด แต่มันยังดีกว่าปล่อยให้ Olivia เข้าควบคุมเหล่านางฟ้าของ Innistrad

ร่องรอยของ Olivia นั้น ไม่ได้ย้อนกลับไปที่ห้องบอลรูม แต่มันกลับขึ้นไปยังส่วนที่สูงขึ้นไปอีก ซึ่งมันก็สร้างความลำบากให้กับสัตว์สี่เท้า ที่ต้องวิ่งขึ้นบันไดที่ไม่ได้ออกแบบมาให้พวกมันใช้

 


Olivia, Crimson Bride 

 

และเสียงของ Edgar จะดังก้องส่งมา

“ไหนเธอบอกว่าเอาอยู่ไงเล่า”

“ก็ใช่ไง... แต่ ไอ้พวกนี้... พวกนี้มัน”

ฝูงหมาป่าเข้าล้อมห้องโถงนั้น, ที่ท้ายห้องนั่น Olivia Voldaren ยืนอยู่ท่ามกลางรูปปั้นจำลองของตัวเธอเอง และข้างกันนั้น ก็มี Edgar Markov ที่ยืนร่างชุ่มไปด้วยเลือด หายใจหอบโรย

ใบหน้าของ Olivia กลับเติมเต็มด้วยความเกรี้ยวกราดอีกครั้ง เธอดึงดาบออกมาอีกครั้ง, Edgar เอื้อมมือไปจับไหล่ของเธอ

Olivia, มันจบแล้วล่ะ” Edgar เอ่ย

แต่เธอปัดมือของเขาออก “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน ถ้าฉันยังไม่อนุญาต”

หมาป่ารุกคืบเข้ามา แต่ Arlinn ก็เดินเข้ามาขวางระหว่างพวกมัน, เสียงคำรามทุ้มต่ำออกมาจากลำคอ

Olivia รู้ดีว่า Arlinn ต้องการอะไร ส่วน Tovolar ก็กระโดดเข้าขย้ำ Edgar ไปแล้ว, ก่อนที่ Arlinn จะเห่าส่งสัญญาให้เขาหยุด

เรื่องวุ่นวายเหล่านี้ เป็นเรื่องของ Olivia... และนี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะแก้ไขมัน

ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งใดเอาชนะใจของ Olivia ได้, ความโมโห, เธอหมดความอดทน หรือด้วยความขี้ขลาดของเธอเอง

Olivia ทิ้งกุญแจ Moonsilver ลงกับพื้น

“อยากได้ของเล่นชิ้นนี้มากนัก ก็เอาไปซะ” Olivia ประชดกลับ

Arlinn เอากุญแจนั่นห่อใส่เศษผ้าม่านที่ขาดอยู่แถวนั้น และคาบมันไว้ในปาก

ส่วน Olivia ก็หนีออกไปทางหน้าต่างบานหนึ่ง, และ Edgar ก็ตามเธอไป, แม้ Tovolar จะกระโดดหวังขย้ำ Edgar อีกครั้ง แต่เขาก็งับได้แค่เพียงชายผ้าคลุมของ Edgar เท่านั้น

Tovolar มองเขม็งมาด้วยความไม่พอใจ มันเป็นเรื่องปกติที่จะอยากจะให้ภัยร้ายจากพวก Vampire จบลงด้วยความตายของผู้นำ

Arlinn เองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน... แต่มันยังไม่ถึงเวลา

Arlinn เปลี่ยนกลับไปเป็นร่างมนุษย์อีกครั้ง และรับรู้สายตาที่หงุดหงิดจาก Tovolar

“ถ้าคุณมีปัญหากับการแก้ปัญหาของฉัน, เราค่อยมาคุยกัน” Arlinn พูด “ฝูงของฉันจะจัดการเรื่องนี้ในวิถีของพวกเรา”

 

- ปริศนา -

 

ราวกับกุญแจ Moonsilver จะมอบพลังและผลักดันให้พวกเขาก้าวข้ามความเหนื่อยล้า

ตลอดระยะทางตั้งแต่ Stensia ถึง Kessig พวกเขาไม่พัก, พวกเขาไม่หยุด, Teferi ใช้พลังเพื่อเร่งฝีเท้าใหเร็วขึ้นไปอีก มันทำให้เขาถึงกับผล็อยหลับไปบนรถม้าทันทีที่เข้าถึงเขต Kessig

ทุกย่างก้าวของพวกเขา คือชัยชนะ ทุกๆ ก้าวคือความสำเร็จ

แต่ทุกสิ่งที่คาดหวัง มันจะไร้ค่าทันที ถ้าพิธีกรรมนั้นไม่สำเร็จ

แต่วิญญาณคุณยาย Katilda ก็ให้ความไว้วางใจกับคณะเดินทางนี้ เพราะวิญญาณของเธอยังมีพันธะกับกุญแจ Moonsilver, ส่วน Kaya ก็ชวนเธอคุยตลอดทางก่อนที่จะมาถึง จนสุดท้าย Arlinn ก็อยากจะเป็นฝ่ายยิงคำถามบ้าง

“พวกเราจะแน่ใจได้ยังไง ว่ามันจะได้ผล?”

“แล้วทำไมถึงคิดว่ามันจะไม่สำเร็จ?” Katilda ตอบ ด้วยร่างวิญญาณที่ช่วยเสริมให้มันดู... เป็นเรื่องเหนือจริงยิ่งกว่าเดิม

“แค่อยากจะได้ความมั่นใจน่ะ... จะหาว่าฉันคิดมากก็ไม่ได้น่ะนะ” Arlinn ตอบ, ตอนนี้พวกเธอเริ่มออกเดินเท้าไปยังที่ทำพิธีใจกลาง Celestus กันแล้ว

ส่วนคนที่เหลือ ก็หลับผล็อยอยู่ที่รถม้ากันเกือบหมด จะมีก็เพียงม้าศึกของ Adeline คู่กับม้าอีกตัว ที่ Kaya ยืมมาโดยไม่บอกเจ้าของ ที่ยังไม่หลับลง

“หมายความว่าเจ้ายังรู้จักตัวเองไม่ดีพอ” Katilda ตอบ “ถ้าเจ้ารอความมั่นใจก่อนจะลงมือทำ เจ้าคงไม่มาอยู่ตรงนี้หรอก ใช่มั้ย?”

คำพูดนั่น ทำให้ Arlinn ชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง... เขาว่ากันว่า สุนัขตัวที่กัดเราเจ็บที่สุด คือตัวที่เราเลี้ยงมันมากับมือ

Arlinn หันไปมองรถม้า... นึกถึงทุกๆ คนที่เดินทางมาด้วยกัน, Chandra ที่นอนคู้อยู่ตรงเก้าอี้นั่ง, Kaya ที่ยืนพิงกำแพงใกล้แล้วหลับไป, Teferi ที่ทยอยพาคนอื่นๆ ลงมาจากรถ และฝูงหมาป่าของเธอที่หลับไหลที่ตรงพื้นอย่างสบายใจ เมื่อท้องของพวกมันได้เติมเต็ม

“เจ้ามั่นใจ และเชื่อใจพวกเขางั้นหรือ?”

อีกคำถามที่ตามมา และมันยิ่งทำให้ Arlinn เป็นกังวล... เธอหันไปมอง Katilda ก่อนที่เธอจะตอบกลับไป “แน่นอน... เขาเป็นหนึ่งในจอมเวทย์ที่เก่งที่สุด ที่ฉันรู้จักมา... ทำไมจะไว้ใจเขาไม่ได้ล่ะ?”

“เจ้ารู้ดี ว่าข้าไม่ได้หมายถึงจอมเวทย์”

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลบเลี่ยงคำถามของแม่มดสินะ

Arlinn คงต้องตอบไปตามสิ่งที่แม่มดเฒ่าปรารถนา “Sorin อาจจะมีเหตุผลส่วนที่ที่เข้ามาช่วยพวกเราในครั้งนี้... เขาอาจจะเคยพลาดพลั้ง แต่สุดท้ายแล้ว ฉันเชื่อว่าเขาเองก็รัก Innistrad ไม่ต่างจากฉัน... ฉันเชื่อว่าเขาอยู่ข้างเรา”

 


Sorin the Mirthless

 

แต่สิ่งที่ Arlinn ไม่ได้พูดต่อก็คือ Sorin ไม่ได้ร่วมเดินทางมากับพวกเธอ, เขาบอกแค่ว่าเขามีเรื่องต้องทำ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันคือเรื่องอะไร... กระนั้น Arlinn ก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่แผนลวงของ Sorin

เขาดูจริงใจ และทุ่มเทให้กับการช่วยเหลือผู้ที่บาดเจ็บจากการปะทะที่ปราสาท Voldaren, ส่วนคนที่อยากได้การช่วยเหลือระยะยาว เขาก็ขอให้พาไปที่คฤหาสน์ Markov ด้วยเหตุผลที่ว่า

ที่คฤหาสน์นั้น เขาสามารถเข้าถึงตำรายาที่มีเพียงเขาเองเท่านั้น จึงจะใช้ศาสตร์จากตำรานั้นได้

ซึ่งมันก็น่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย... หรือมันอาจจะเป็นเพียงแค่ Sorin ไม่อยากจะพูดความจริง และทั้งหมดก็เปป็นเพียงแผนลวง...

กระนั้น เพียงคำพูดของ Sorin ที่ว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ” มันก็ทำให้ Arlinn อดอมยิ้มไม่ได้... เพราะมันหมายถึงใครบางคนยังมีหัวใจอยู่

แต่รอยยิ้มของ Arlinn ก็หุบลงทันที ที่ Katilda พูดต่อ

“ข้าก็ไม่ได้หมายถึง Sorin เช่นกัน”

กลิ่นของไม้สนที่แจ่มชัดราวกับกลิ่นของเหล้าวิสกี้ยามค่ำคืนลอยละล่องเข้าสู่ประสาทรับกลิ่นของ Arlinn... เธอซึมซับมันก่อนที่จะตอบคำถามที่ค้างคา

“เรากำลังจะได้คำตอบ... และคุณจะไม่อยากคำถามนั้นอีกเลย”

“เหตุการณ์สังหารหมู่ Harvesttide อาจจะผ่านมาไม่กี่วัน แต่มันจะตราตรึงอยู่นานนับปี” Katilda พูดต่อ ร่างวิญญาณของเธอเริ่มสั่นไหว

“เขาจะต้องชดใช้การกระทำของเขาแน่ๆ” Arlinn มั่นใจว่าเธอตอบได้ตรงคำถามแล้วแน่ๆ ในคราวนี้ “เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลง ฉันจะออกล่าเขาเอง”

“นั่นยังไม่ตอบ ว่าเขาจะชดใช้มันอย่างไร?” Katilda ถามต่อ “เขาจะชดใช้ด้วยหน่วยนับใด? สิ่งไหนจะทดแทนชีวิตที่เขาคร่าไปได้? เจ้าอาจจะเป็นมนุษย์ผู้มีอาภรณ์เป็นสัตว์ร้าย... แต่ชายคนนั้นคือสัตว์ร้าย ไม่ว่าเขาจะอยู่ในอาภรณ์ใดๆ ก็ตาม”

 

แม้ Arlinn จะไม่อยากให้บทสนทนามาจบที่ตรงนี้ แต่เธอก็ไม่อยากให้มันค้างคา เธอจึงพูดต่อไป

Tovolar ตั้งฝูง Mondronen ขึ้นมาจากการใช้ความกลัวกดขี่” Arlinn เริ่มเล่า “เขาอาจจะมีเหตุผลของเขา, แต่สุดท้ายแล้ว มันก็คือความกลัว... มีเพื่อนร่วมฝูงของเขาอีกหลายคนเลือกจะเดินเส้นทางเดียวกับฉัน... พวกเขาก็จบลงด้วยการถูกสังหาร... ไม่ว่าพวกเขาจะมุ่งมั่นตั้งใจแค่ไหนก็ตาม”

ชายคนหนึ่งตัดต้นไม้เบื้องหน้า เขามองสบตา Arlinn แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา และเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เพราะทั้งคู่ต่างรู้ดี

Arlinn ปล่อยผ่านความทรงจำที่ตามมาจากเรื่องเล่าของตัวเองไป

“เมื่อคุณเป็นมนุษย์หมาป่า คุณก็ไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป... มันลบเลือนทุกตัวตนที่คุณเป็น เพราะผู้คนต่างพร้อมจะตัดสิน... พร้อมจะโยนทุกความผิด ที่เกี่ยวข้องกับหมาป่า... คุณเองจะไม่ชอบที่มันเป็นอย่างนั้น, คุณหวาดกลัวทุกสิ่ง, คุณหนีออกมา, คุณไปพบกับฝูงมนุษย์หมาป่า... “

"ที่ๆ พวกเขาไม่ตัดสินคุณ พวกเขาจะยอมรับสิ่งที่คุณเป็น... และเขาจะบอกให้คุณโอบรับมัน เพราะถ้าคุณไม่ยอมรับสิ่งที่คุณเป็น พวกมนุษย์จะกลับมาล่าคุณ... และเหตุผลเพียงเท่านี้ ก็เพียงพอที่หลายๆ คน จะละซึ่งความยั้งคิด”

นั่นคือเหตุการณ์ในเมือง Avabruck ที่เล่าผ่านประสบการณ์ของมนุษย์หมาป่า ผ่านประสบการณ์ที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ... เรื่องราวที่เป็นความลับ แม้แต่กับพ่อ-แม่ของเธอ

“คุณจะไม่คิดถึงอะไรอีก จนกระทั่งคุณมีโอกาสถอยออกมามองด้วยกรอบของคนภายนอก... มันไม่ใช่เส้นทางการใช้ชีวิตเพียงเส้นทางเดียวของมนุษย์หมาป่า - แต่ก็ไม่เลย... มันไม่ใช่เส้นทางที่ง่ายกว่า”

“คุณต้องเปลี่ยนวิธีมองเหล่ามนุษย์... และพวกมนุษย์ก็ต้องเปลี่ยนวิธีมองเหล่ามนุษย์หมาป่า... นี่คือเส้นทางที่ทั้งสองฝ่ายต่างมองเห็นร่วมกัน... ราวกับการสร้างบ้าน พวกเราเพียงร่วมมือกันวางอิฐขึ้นไปทีละชิ้น, ทีละชิ้น...”

“มันอาจจะต้องอาศัยเวลานานนับปี... หรือนับสิบปี, แต่ก็นั่นแหละ... เมื่อคุณเป็นมนุษย์หมาป่า สิ่งที่คุณเป็นกังวลก็มีเพียงเรื่องการล่าหาอาหาร และการระวังไม่ให้ถูกล่า... มันยากมากที่จะมองเห็นภาพกว้างของสิ่งที่ควรจะเป็น... และมันก็ยากมาก ที่จะเกิดความรู้สึกอยากเข้าร่วม”

 


Tovolar, Dire Overlord

 

ภาพของ Tovolar ที่นั่งล้อมกองไฟ สายตาจ้องมองมาที่ Arlinn ราวกับเธอมีหัวที่สองงอกออกมาหวนขึ้นมาในความคิด

“ฉันเคยบอกกับเขาเมื่อหลายปีก่อน... ฉันบอกเขาว่ามนุษย์หมาป่ายังมีทางเลือกอื่น แต่เขาก็ไม่เชื่อฉัน... ในความคิดของเขา มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้, พวกเขาจะยังมองพวกเราเป็นปีศาจ... แล้วทำไมเราถึงไม่เป็นปีศาจ? ทำไมเราต้องขัดขวางเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ของเขา?”

Arlinn หยุดพักหายใจ

“สิ่งที่เกิดขึ้นในเทศกาล Harvesttide ไม่ใช่อะไรที่ปุบปับเกิดขึ้นเอง... ถ้าคุณถาม Tovolar เขาจะอ้างได้เสมอ ว่ามีหมาป่าตายไปเป็นร้อยๆ ตัวต่อปีจากฝีมือของพวกมนุษย์... และการสังหารหมู่ที่นี่ เป็นแค่การเริ่มต้น”

วิสัยทัศน์ที่แสนน่าขยะแขยงแบบนี้ เพียงแค่ Arlinn พูดถึงก็ไม่อยากจะพูดต่อ... แต่เธอก็ไม่สามารถปล่อยให้มันค้างคาอยู่แบบนี้ได้

“คุณถามถึงการตัดสินที่เที่ยงธรรม... ฉันบอกตามตรงว่าฉันเองก็ไม่มั่นใจว่าจะตัดสินอย่างไร... คุณจะลงโทษคนที่ใช้ทั้งชีวิตอยู่ภายใต้ความกลัว และความโกรธเกรี้ยวยังไง ไม่ให้สิ่งเหล่านั้นยิ่งทวีความรุนแรงไปยิ่งกว่าเดิมล่ะ?”

“ฉันอยากจะให้เขาชดใช้สิ่งที่เขาทำอยู่เหมือนกัน... แต่ฉันก็อยากจะให้เขากลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิม... ฉันอยากให้เขาเห็นอีกวิถีทางในการใช้ชีวิต อยากให้เห็นว่า มนุษย์กับหมาป่าอยู่ด้วยกันได้... แต่แล้วการสังหารหมู่ที่ Harvesttide ก็ทำลายทุกสิ่งที่ฉันพยายามสร้างมา... ทุกอย่างมันกลับไปเหมือนเดิม... มนุษย์กลับมาระแวงหมาป่าเหมือนเดิม”

Arlinn หายใจเข้า หวังสูดอากาศบริสุทธิ์เพื่อให้สมองปลอดโปร่ง... แต่มันก็ช่วยได้ไม่มากนัก

“ถ้าคุณถามว่าเขาจะมาที่นี่มั้ย?... ฉันตอบไม่ได้หรอก” Arlinn ยอมรับโดยดี “แต่ถ้าเขามาที่นี่จริงๆ... ฉันก็อยากให้เขาเห็นสิ่งที่พวกเราร่วมมือกัน... ให้เขาเห็นว่าเราอยู่ด้วยกันได้, เรามีวิถีทางการใช้ชีวิตอีกแบบ, และถ้าเขาเข้ามาช่วยพวกเรา เขาจะได้เห็นว่าผู้คนยินดีแค่ไหน... ได้เห็นว่าเราไม่ต้องขัดแย้งกันตลอด... และฉันว่า สิ่งนี้มันสำคัญกว่าเรื่องไหนๆ”

Katilda ลอยมาข้างๆ เธอ, มองขึ้นไปที่ท้องฟ้า เพื่อจ้องมองดวงจันทร์, ความเงียบเข้าแทนที่สิ่งที่ Arlinn พูดเมื่อครู่ เพราะมันทิ้งปมให้ทั้งครู่ให้ครุ่นคิด

โดยเฉพาะกับ Arlinn, เธอไม่ได้คิดก่อนที่จะพูดเรื่องเหล่านั้นออกไป เธอแค่พูดสิ่งที่อยู่ในใจ... สิ่งที่เธอรู้สึก... และตอนนี้ สมองของเธอพึ่งจะมาประมวลผลมัน

สมองของเธอที่ยังไม่รู้ว่า จะประมวลผลมันได้ทันมั้ย?

 

“เธอคิดว่ามันจะทำให้สิ่งอื่นๆ ดีขึ้นจริงๆ หรือ?” Katilda ถาม

คำตอบของคำถามนั้น มันยากเกินกว่าจะพูดออกมา “ฉันไม่รู้เหมือนกัน... แต่ฉันจะพยายาม”

“ถ้างั้น ฉันขอแนะนำอะไรอย่างสิ” Katilda พูดขึ้นมา

“ว่ามาเลย” Arlinn ตอบ

“มันพอเข้าใจได้ ที่เธอจะเห็นใจผู้อยู่เบื้องหลังอาชญากรรม” Katilda พูด “แต่เธอก็ต้องไม่ลืมผลของอาชญากรรมนั้น, ไม่ว่าเธอจะคาดหวังอะไรกับ Tovolar ไว้, เขาก็มีโอกาสจะหักหลังเธอเมื่อเขาสมผลประโยชน์... ซักวันที่สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง สิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้มันคงไม่เพียงพอ”

คำพูดที่เสียดแทงส่งสาส์นความจริงถึง Arlinn อีกครั้ง... เธอหลับตาลง รับความรู้สึกของพื้นเย็นๆ และดินนุ่มๆ ใต้ฝ่าเท้า ท่ามกลางราตรีนิรันดร์ของ Innistrad, และพวกเขายังต้องแก้ไขมัน

“ฉันเข้าใจ... ฉันเข้าใจดี” Arlinn พูดอะไรมากกว่านั้นไม่ได้

 

- สามัคคี -

 

“มันจะไม่พังแน่นะ?” Chandra พูดขึ้นมา

Arlinn ส่งยิ้มกลับมา “แน่ใจสิ”

เธอยืนอยู่ใจกลาง Celestus ส่วนคนอื่นๆ ยืนรออยู่ที่แขนกลรอบนอก, Katilda ยืนอยู่ตรงข้ามกับ Arlinn ในร่างมนุษย์

ในมือของ Arlinn ถือแม่กุญแจ Sungold ที่เป็นถ้วยมีรอยเลือด และเครื่องบูชายัญอื่นๆ

ในมือของ Katilda มีกุญแจ Moonsilver สัญญะแห่งชัยชนะ มันส่งพลังเวทย์อ่อนๆ ออกมา

“รากไม้ และวิญญาณ, โลหิตและคมเขี้ยว” Katilda ขับขานเสียงประสานออกมา พร้อมๆ กับเหล่าแม่มดที่ยืนอยู่รอบๆ ราวกับมันเป็นเสียงของดวงดาว “โปรดให้ Innistrad ยืนหยัดทัดทาน ท่ามกลางแสงสว่าง และความอบอุ่นของดวงตะวัน”

พลังเวทย์ที่เชื่อมต่อกันของเหล่าแม่มดส่งให้กุญแจ Moonsilver ลอยไปยังถ้วย Sungold Lock ที่ Arlinn ชูขึ้นเหนือหัวตามที่ได้นัดแนะกันมา

แม้ในใจเธอจะแอบเป็นกังวลว่ามันจะใช้ไม่ได้... Olivia อาจจะส่งของปลอมมาให้พวกเธอ

 

แต่เพียงแค่กุญแจโลหะเงิน สัมผัสเข้ากับถ้วยทอง ความแคลงใจก็หายไปหมดสิ้น

แสงสว่างวาบ เข้าปกคลุมทั้ง Celestus, มันเป็นแสงที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น... อบอุ่นดั่งคำที่ Katilda เคยสัญญาไว้

Arlinn รับเอาความรู้สึกเหล่านั้น เธอไม่แม้แต่จะหลับตาหลบแสง, แขนกลของ Celestus เริ่มส่งเสียงคำราม และเคลื่อนตัวจนแผ่นดินสั่นไหวรับกับการหลับไหลนานนับศตวรรษของมัน, ท้องฟ้าที่เคยมีต้นไม้ปกคลุมถูกเคลื่อนย้ายไปพร้อมๆ กับแขนกลเหล่านั้น

Arlinn ไม่ได้เห็นท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งแบบนี้มานานแล้ว... มันชวนให้นึกย้อนไปถึงวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยความสุข

ส่วนเพื่อนๆ ของเธอก็เกิดเสียหลักจนเกือบล้ม เนื่องจากพวกเขายืนอยู่บนแขนกลที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปจนพวกเขาไม่ทันตั้งตัว, มันขยับไปช้ามากแม้ว่าจะไม่ได้เป็นผลจากเวทย์ของ Teferi 

แขนกลที่ผ่านเหนือหัวของพวกเขาไปแต่ละครั้ง มันยิ่งทำให้แสงสว่างเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น, จนกระทั่งมันเหลือเพียงลำแสงเข้มข้น ที่ส่งไปยังดวงจันทร์เพียงเส้นเดียว

Arlinn ไม่มีคำใดจะพูด เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรด้วยซ้ำ... และมันก็คงเป็นเรื่องดีกว่า ที่เธอจะยืนนิ่งๆ เป็นเพียงผู้รับชมเหตุการณ์เหนือธรรมชาติแบบนี้...

บุตรีแห่งช่างตีดาบ กำลังยืนมองเครื่องจักรโบราณกำลังขับเคลื่อนดวงตะวันกลับสู่ Innistrad

 


Arlinn, the Pack's Hope

 

และเมื่อแสงสว่างนั้นมืดลง ดวงจันทร์บนท้องฟ้าแห่งราตรีนิรันดร์ก็เริ่มพาตัวเองลงไปที่เส้นขอบฟ้า ก่อนที่ Arlinn จะได้ยินเสียง Katilda หยิบกุญแจขึ้นมา

Arlinn เลิกคิ้วขึ้น และถามเธอ “คุณไม่ต้องเก็บมันไว้เหรอ?”

Katilda มองไปยังท้องฟ้า และตอบกลับมา “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด... อย่างน้อยๆ อีกนับพันปี สิ่งนี้ย่อมมีคนที่ต้องการใช้มันมากกว่าข้า”

Arlinn รู้สึกว่าโต้แย้งกับแม่มดไปก็เท่านั้น ตอนนี้ดวงจันทร์คล้อยตัวลงใกล้เส้นขอบฟ้า และ Arlinn ก็ออกเดินไปพร้อมๆ กับ Katilda ห่างจากจุดศูนย์กลางของ Celestus, ที่ๆ มีคนอื่นๆ นั่งรออยู่

เบื้องหน้าของ Arlinn นั้นคือผืนป่าของเขต Kessig ที่กว้างไหลสุดลูกหูลูกตา

ผืนป่าที่เธอคุ้นเคยกับพื้นที่แทบจะทุกตารางนิ้วของมัน, เธอรู้ว่าในยามค่ำคืน มันจะเป็นอย่างไร, ในยามเช้า มันจะเป็นอย่างไร... และในยามรุ่งอรุณที่ทรงคุณค่าเช่นตอนนี้ กิ่งไม้ทุกๆ กิ่งก้าน จะถูกฉาบไปด้วยแสงสีชมพู...

แต่ในครานี้ ภาพที่เธอเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน... กลับทำให้น้ำตาเธอไหลออกมาได้อีกครั้ง

 

Arlinn หย่อนตัวลงนั่งกับเพื่อนๆ ของเธอ, หมาป่าของเธอเข้ามาเคียงข้างอย่างรวดเร็ว, เจ้า Patience นอนลงบนตักของเธอ และคุณยาย Katilda ก็ตามมาสมทบเช่นกัน

พวกเขานั่งชมตะวันฉายแสงครั้งแรกในรอบเดือนที่ Innistrad... มันเองก็ไม่ต่างจากภาพพระอาทิตย์ขึ้นทุกๆ ครั้ง... แต่ความรู้สึกที่สวยงามกลับเติมเต็มในความรู้สึก... มันระคนกับความโล่งใจ ระคนกับความคาดหวัง...

เพียงแค่ลูกบอลเพลิงยักษ์มาทักทายที่เส้นขอบฟ้า... มันก็มากพอจะเติมเต็มความหวังของทั้งดวงดาว

มันเป็นตะวันขึ้นครั้งแรกในรอบเดือน... มันเหมือนๆ กับทุกครั้งนั่นแหละ... และนั่นก็คือความสมบูรณ์แบบในตัวของมันเอง

 

เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีดังขึ้นมาพร้อมๆ กับดวงตะวันที่เส้นขอบฟ้า, Arlinn ก็เป็นหนึ่งในเสียงเหล่านั้น... แสงสีทองส่งความอิ่มเอมในจิตวิญญาณของเธอ, แม้แต่หมาป่าของเธอก็ยังส่งเสียงหอนออกมาเช่นกัน

คู่รักจุมพิตกันและกัน, เพื่อนฝูงโอบกอดกัน, เสียงเพลงที่คุ้นเคยดังขึ้นต้อนรับผู้มาเยือน... และเครื่องดื่มเพื่อรอสังสรรค์

มีใครบางคนส่งแก้วไวน์ใหกับ Arlinn โดยที่เธอไม่รู้ตัว กลิ่นของมันทำให้เธอหยิบแก้วขึ้นมา ไวน์อุ่นๆ ส่งผ่านคอลงไปทำให้ร่างกายของ Arlinn อุ่นขึ้นมา

แต่เมื่อเธอระลึกได้ว่า มันถึงเวลาต้องจากลากับเพื่อนๆ ของเธออีกครั้ง ความยะเยือกก็กลับมาแทนที่

ท่ามกลางผู้คนมากมาย ที่เข้าสังสรรค์กัน Arlinn ก็ได้พบกับเพื่อนๆ ของเธออีกครั้ง

 

Chandra และ Adeline นั่งพูดคุยกันที่ใต้ต้นไม้ ร่มเงาของมันราวกับจะช่วยทำให้การจากลาของพวกเธอเป็นความลับ, แม้ Arlinn จะไม่รู้ว่าพวกเธอคุยอะไรกัน แต่การโอบกอดกันอย่างไม่แนบแน่นเท่าใด ก็พอจะบอกได้ว่า การจากลาของเธอทั้งคู่จะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว... Chandra คงจะหาโอกาสที่จะบอกลาดีๆ อีกสักครั้ง

Arlinn เดินออกมา เพื่อปล่อยให้ทั้งคู่มีเวลาอยู่ด้วยกัน

“แอบดูคนอื่นเหรอจ๊ะ? ไม่ยักกะรู้ว่าคุณก็มีมุมนั้น” Kaya แอบดอดเข้ามา

“ก็แค่อยากจะรู้ว่าอยู่ตรงไหนกันบ้างน่ะ” Arlinn ตอบ

“งั้นสินะ” Kaya กอดอก มองไปยังต้นไม้ต้นนั้น “ฉันก็ไม่เคยคิดว่า Chandra จะชอบที่นี่ขนาดนั้น”

Innistrad ไม่ได้มีแค่เรื่องโหดร้าย และโศกเศร้าหรอกนะ” Arlinn ตอบ “หวังว่าคุณก็จะหามุมนั้นเจอเช่นกันนะ”

Kaya ยิ้มมุมปากออกมา “ก็หวังว่านะ... คือฉันก็ไม่ได้เกลียดเรื่องเศร้าสยองขวัญหรอก... ทั้งนี้ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำงานร่วมกันนะ Arlinn

“เช่นกัน KayaArlinn ตอบกลับ “หวังว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายนะ”

“ไม่อยู่แล้วล่ะ, ทีนี้ผีเยอะชะมัด ฉันคิดว่ายังไงคุณก็ต้องเรียกหาผู้เชี่ยวชาญด้านผีๆ ก่อนที่ปัญหามันจะบานปลาย... แต่อย่าลืมล่ะ ฉันไม่ทำงานให้เปล่าๆ หรอกนะ”

“ไม่ให้ทำเปล่าๆ อยู่แล้วล่ะ” Arlinn ยิ้มมุมปากออกมา... แต่ Kaya ก็หายไปจากที่ตรงนั้นเสียแล้ว

 


Kaya, Ghost Assassin
 

Arlinn เดินเข้าไปหา Teferi ที่ยืนคุยกับ Katilda อยู่ไม่ไกล ทั้งคู่หันมามอง Arlinn, ส่วนในมือของ Teferi ก็ถือกุญแจ Moonsilver อยู่

“อ๋อ... คุณนี่เอง คือคนที่อยากได้กุญแจ” Arlinn ทัก

Teferi ส่งยิ้มกลับมา Katilda ใจกว้างพอที่จะให้ผมยืมมันมาน่ะ, เจ้า Moonsilver นี่มันเต็มไปด้วยองค์ประกอบทางไสยเวทย์ที่น่าสนใจมากๆ... โดยเฉพาะเวทย์แห่งกาลเวลา”

“หวังว่ามันจะช่วยคุณได้นะ” Arlinn เสริม “แต่อย่าลืมล่ะ ถ้าคุณยืมแล้วไม่คืน ฉันจะออกไปล่าคุณ”

Teferi ฉีกยิ้มออกมา และเข้ามากอดเธอ “งั้นผมคงจะไม่วิ่งหนีหมาป่าที่วิ่งไล่ผมอีกเลยนะนั่น... เผื่อจะได้เจอคุณอีก”

“หวังว่าจะได้เจอคุณอีกครั้งเช่นกัน” Arlinn ตอบ

แต่ทว่า Teferi จับแขนเธอเอาไว้ มันเหมือนมีบางอย่างที่เขายังไม่ได้พูดออกมา, เขาเหมือนพยายามเรียบเรียงคำพูดอยู่

“ข่าวร้ายงั้นเหรอ?” Arlinn ถาม

“อาจจะเรียกเป็นข่าวร้ายก็ได้นะ... ผมอยากให้คุณระวังตัวเพิ่มขึ้น... พวกเราเจอกับปัญหาอีกอย่างหนึ่ง... เรื่องเก่าๆ ที่วกกลับมาอีกครั้ง”

“งั้นมันต้องเป็นเรื่องที่หนักเอาการเลยสินะ” Arlinn พูด ด้วยความหวังจะช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น... แต่ Teferi ก็ยังไม่มีสีท่าดีขึ้นเลย

“ผมพูดได้ว่า ผมรู้จักภัยร้ายครั้งนี้ดี... ผมรู้ว่ามันอันตรายขนาดไหน... พวกมันถูกเรียกว่า Phyrexians” Teferi อธิบายความกังวลของเขา “ถ้าคุณเจอเข้ากับน้ำมันสีดำๆ และมันเปลี่ยนให้เนื้อเยื่อกลายเป็นเหล็ก, หรือกลับไปกลับมา... หรืออะไรแปลกๆ จากมันก็ตาม, ช่วยแจ้งให้พวกเรารู้ด้วยนะ, ผมแอบหวังให้เราเจอเบาะแสอะไรเกี่ยวกับเป้าหมายของพวกมัน... และผมก็เชื่อว่ากุญแจ Moonsilver น่าจะพอช่วยได้”

สายตาของ Teferi บ่งบอกถึงแววตาแห่งความเจ็บช้ำ... ถึงสถานที่แห่งหนึ่งในอดีตกาล ถึงเรื่องราวที่เขาล้มเหลวในครั้งก่อน... และมันน่าจะเชื่อมโยงกัน

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้คุณเตรียมพร้อมไว้จะดีกว่า”

“ฉันจะระวังให้มากขึ้น” Arlinn ตอบ “แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น Innistrad จะต้องรอด”

Teferi ส่งยิ้มกลับมาอีกครั้ง แม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่ไม่เหมือนเคยInnistrad อยู่กับมืออาชีพแล้วสินะ, ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ Arlinn

และร่างของเขาก็หายไปในผลึกเวทย์มนต์

 

Arlinn รู้จักผืนป่าแห่ง Kessig

มันกำลังเรียกหาเธออยู่... แสงสว่างที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา, ปุยหิมะที่ร่วงหล่นมาแทนที่ดอกไม้ในป่าใหญ่, อากาศที่ปลอดโปร่งส่งกลิ่นของฤดูหนาวมาอีกครั้ง

แม้เพื่อนๆ ของ Arlinn จะกลับไปแล้ว. แต่เธอยังคงมีฝูงหมาป่าของเธออยู่เคียงข้าง

 

 

 

Magic Story By K. Arsenault Rivera