- ณ พิพิธภัณฑ์ของ Maestro -
ในแรกเห็นนั้น พิพิธภัณฑ์ของ Maestro แทบจะเป็นไปตามที่อย่างที่ Elspeth คาดหวังเอาไว้
มันตั้งอยู่ที่ชั้นสูงสุดของอาคารที่สูงเสียดฟ้า ในเขตเมืองชั้นที่สูงที่สุดของ New Capenna อย่างเขต Park Height
จะมีก็แต่ ‘ห้องพัก’ ของเธอ ที่ Anhelo เคยสัญญาไว้ มันออกจะเป็นเหมือนคอกของพวกทหารใหม่เสียมากกว่า, แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอใส่ใจมากนัก
เพราะที่จริงแล้ว เธอเองก็ไม่ได้มาตามหาความสะดวกสบายที่ Maestro หรอก
และถึง Anhelo จะบอกว่าเธอนั้นได้กลายเป็น “ส่วนหนึ่งของครอบครัว” ไปแล้ว, แต่ Elspeth เองก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เนื่องด้วยอากัปกิริยาลับๆ ล่อๆ ของคนใน Maestro ที่มีต่อเธอ มันทำให้เธอยิ่งไม่อยากเอาตัวเข้าไปข้องแวะ
แต่ที่เธอต้องทนอยู่ นั่นเพราะเธออยากจะหยุดเรื่อง Phyrexia ให้ได้
รูปสลักของปีศาจ Phyrexian ที่น้ำพุกลางเมืองยังตราตรึงอยู่ในหัวของ Elspeth, มันเริ่มตามหลอกหลอนเธออีกครั้ง, ไม่ว่าเธอจะย่างก้าวไปที่ไหนก็ตามในพิพิธภัณฑ์ เธอจะจินตนาการถึงรูปร่างที่ซ่อนอยู่ในเงามืด หรือรอยแยก,แตกของรูปปั้นของนางฟ้า
เธอไม่แน่ใจว่ามันเป็นสัญญะอะไรที่ซ่อนอยู่ หรือเป็นแค่จิตใต้สำนึกที่กล่อมให้เธอมองเห็นรูปร่างของพวก Phyrexian กันแน่?
กระนั้น ความสงสัยของเธอก็ได้รับคำตอบอีกครั้ง, เมื่อเธอได้เจอเข้ากับภาพวาดของนางฟ้าตนหนึ่ง ระหว่างที่เธอกำลังจัดข้าวของตามหน้าที่ของเด็กใหม่
ในภาพนั้น เธอกำลังสวดมนต์อ้อนวอนให้กับเงามืดมิดเบื้องล่าง เงาที่ยืดเยียดกรงเล็บของ Phyrexian ออกมา
Elspeth ถอนใจออกมา, จริงอยู่ว่าภาพวาดนั้นมันบอกกับเธอว่าที่นี่เคยมี Phyrexian อยู่
แต่มันก็เป็นเพียงเบาะแสที่ไม่ช่วยอะไรเธอเลย… คำถามที่มีมากมายยังไม่ได้คำตอบ
เธอเอานิ้วรูดไปตามกรอบรูปนั่น… รูปที่ซ่อนความลับของ New Capenna เอาไว้… ความลับที่ถูกเก็บงำไปพร้อมๆ กับงานศิลป์ และวัตถุโบราณเหล่านี้…
ซึ่งเธอก็ไม่สามารถจะสานต่อข้อมูลเพียงน้อยนิด เพื่อไขความลับที่ถูกเก็บซ่อนมายาวนานนับศตวรรษ
สำหรับ Elspeth นั้น, สิ่งเดียวที่เธอรู้ก็คือ… เธอจะหาข้อมูลเพิ่มได้จากที่ไหน?
ใช่แล้ว ผู้ดูแล (Curator) นั่นเอง
ผู้นำของตระกูล Maestro… เขาไม่น่าจะตามเก็บวัตถุโบราณพวกนี้มาอย่างมั่วๆ, เขาต้องรู้อะไรบางอย่าง… และนั่นเป็นทฤษฎีที่ Elspeth ทดเอาไว้ในใจ เพื่อพร้อมจะแลกเวลากับการทำงานให้ Maestro
และเมื่อพูดถึงปีศาจ…
ประตูของห้องจัดเก็บเปิดออก, Vampire ตนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับเขาที่ยาวโง้ง-Xander, หัวหน้าตระกูล Maestro
เขาเข้ามาพร้อมกับชาย-หญิงคู่หนึ่งที่ตามมา,ฝ่ายชายหนึ่งก้มตัวเข้าไปฟังคำสังที่เหมือนเสียงกระซิบเสียมากกว่า
Elspeth เอง เคยได้พบกับ Xander หรืออีกชื่อก็คือ The Curator ในวันที่ Anhelo พาเธอมาแนะนำให้ Xander รู้จัก
แม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ รวมถึงแทบจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยก็ตาม, แต่ Elspeth มั่นใจว่าเขาคนนี้จะต้องรู้อะไรบางอย่าง เดี่ยวกับความเกี่ยวข้องของ New Capenna และพวก Phyrexian…
ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ตามเก็บวัตถุโบราณพวกนี้ไว้มากมายขนาดนี้หรอก
Xander หันกลับมามอง Elspeth ที่จ้องไปที่เขา
ทั้งคู่ต่างไม่หลบตากันและกัน, สำหรับ Xander มันก็แค่การเตรียมตัวเป็นปกติ
แต่สำหรับ Elspeth มันคือสัญญะของการไม่ยอมทน, เธอยอมทำงานทุกๆ อย่างที่ถูกสั่งมานานเดินพอแล้ว, ในตอนนี้ เธอจะไม่ยอมทนให้ตัวเองถูกลืมอยู่ในห้องเก็บของ และต้องทนเป็นเพียงคนจัดของอีกต่อไป
“ออกไปก่อน” Xander บอกกลุ่มผู้คุ้มกันของเขาด้วยเสียงที่ดังพอจะให้ Elspeth ได้ยิน
“ได้ยินแล้วนี่” เขาพูดซ้ำ ก่อนที่จะทำท่าเรียก Elspeth เข้ามา
เธอเดินหลบหลีกบรรดากล่องเก่าๆ ที่ฝุ่นจับ, รูปปั้นที่ยังอยู่ในห่อผ้า และรูปมากมายที่ยังไม่ได้แกะออกจากหีบห่อ
Elspeth เดินมาหยุดตรงหน้า Xander ก่อนที่เธอจะก้มหัวคำนับ ในระดับที่แสดงให้เขารับรู้ถึงความเคารพ แต่ไม่ใช่การยอมเป็นเบี้ยล่าง, เพราะ Maestro นั้น อยากได้ทหารหาญที่ซื่อสัตย์ หาใช่พวกเลียหน้าแข้งไปวันๆ
“มากับข้าสิ” Xander พูด และเคาะไม้เท้าของเขาลงกับพื้นเหมือนกับจะช่วยให้คำสั่งมันหนักแน่นขึ้น, แขนเสื้อขนสัตว์ยาวปิดมือของเขาจนแทบจะมองไม่เห็น
เขาออกเดิน และพา Eslpeth ไปยังห้องคลังห้องพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
“มาอยู่กับครอบครัวของข้าแล้วเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ดีค่ะ”
“ไม่มีใครแจ้งเรื่องอะไรแย่ๆ เกี่ยวกับเจ้าเลย, เจ้ารับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายได้ดีตามความคาดหมาย… แต่ก็ไม่มีใครแจ้งว่าเจ้าจะทำสิ่งอื่นๆ ได้มากกว่านี้”
“ฉันมาที่นี่เพราะอยากเรียนรู้, ไม่ได้อยากให้มือเปื้อนเลือด” เธอตอบไปตามตรง
“แต่ราคาของความรู้ บางครั้งมันมาในรูปแบบของเลือด… เลือดของผู้อื่น” ดวงตาของ Xander เปล่งประกายออกมาราวกับทองที่เลี่ยมเขาข้างหนึ่งของเขาเอาไว้
มันโง้งยาวออกมาจากเหนือคิ้ว ราวกับจะเป็นมงกุฏสีงา, ซึ่งเป็นสิ่งที่ Vampire ตนอื่นๆ ใน Maestro ไม่มี… อันที่จริง ก็ไม่เห็นว่าใครใน New Capenna จะมีเขาแบบนี้
“ท่านกำลังจะบอกว่า ฉันต้องสังหารเพื่อแลกกับข้อมูลที่ฉันอยากได้งั้นเหรอ?”
“ยังไม่ถึงเวลา” Xander ตอบ
“การจะส่งใครสักคนไปคร่าชีวิตคนที่ไม่ยินยอม มักจะจบไม่สวย, แต่ข้าก็ไม่ได้ทำการกุศล, ถ้าเจ้าอยากได้ข้อมูลมากกว่าที่เจ้ามี เจ้าก็ต้องทำงานเพื่อแลกมันมา”
Xander เอาไม้เท้าเคาะไปที่พื้นหินอ่อนอีกครั้ง, เสียงของมันดังกังวาลไปทั่วห้อง ก่อนที่เสามุมห้องยกตัวขึ้นมา, มันปรากฏงานปั้นนางฟ้าที่เทินเอาเพดานกระจกไว้ที่ด้านหลังของพวกเธอ
มันอดให้ Elspeth คิดไม่ได้ ว่านี่คือสิ่งที่ New Capenna เป็นอยู่… ผู้ก่อตั้งที่ถูกลืมเลือน ยังต้องทนแบกรับความเกินพอดีของคนรุ่นหลัง
“แล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง?”
“งานเล็กๆ น้อยๆ” Xander หยุดไปพักหนึ่ง
“เจ้าจงตระหนักไว้ว่า ถ้าหากเจ้าเลือกเส้นทางนี้แล้ว, เจ้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว… เจ้าจะเป็น Maestro ตราบเท่าชีวิตเจ้าจะหาไม่, ข้าขอให้เจ้าตัดสินใจให้ดี และถ้าเจ้าไม่ต้องการมัน”
Xander ชี้ไปที่ประตูทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ “เจ้าสามารถเดินออกไปจากที่นี่ได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่มีใครตามไปยุ่งกับเจ้าอีก”
Elspeth มองไปที่ประตูบานใหญ่นั่น และมองกลับมาที่ Xander
และเธอก็ตระหนักว่า เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะหันหลังกลับ, ถ้าความตายยังฉุดรั้งเธอเอาไว้ไม่ได้ แล้ว Xander เองจะห้ามเธอได้อย่างงั้นหรือ?
ไม่ว่า Xander จะพูดอะไรออกมาก็ตาม, สำหรับเธอแล้ว มันไม่มีทางที่เธอจะไร้ทางหลบหนี ถ้าใจเธอต้องการ
Elspeth มองตาของ Xander ก่อนจะตอบกลับไป “ฉันพร้อม”
- ณ ถนนของเมือง Mezzio -
ถุงบรรจุ ‘ภารกิจ’ ของ Elspeth ที่อยู่ข้างๆ ตัวของเธอแตะตัวเธอเป็นจังหวะตามการเคลื่อนไหว, เธอขอบคุณ Xander อยู่ในใจที่เขามอบหมายภารกิจ รวมถึงวิธีจัดการกับมันอย่างละเอียด, โดยเฉพาะ เมื่อเขากำชับไม่ให้เธอเปิดถุงผ้านั่นออก
และสำหรับ Elspeth แล้ว, เธอไม่ได้อยากรู้ว่าอะไรอยู่ข้างในถุงนั่น, เธอสนใจแค่ว่า เธอจะนำมันไปส่งได้สำเร็จหรือไม่?
ซึ่งมันก็เป็นแค่ภารกิจง่ายๆ
เธอแค่ลงลิฟท์จากพิพิธภัณฑ์ที่เขต Park Height จนถึงชั้นของเขต Mezzio, เธอกุมถุงผ้าเอาไว้ในมือ แต่ในความเป็นจริงก็ไม่มีใครสนใจเธออยู่แล้ว
แม้ Elspeth จะเตรียมพร้อมสำหรับข้อผิดพลาดใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น… ทว่า มันกลับไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาเลย
ออกจากถนนหลัก, ตามถนนในซอยไปตนถึงสามแยก, เลี้ยวซ้าย ผ่านอีกซอย, เป้าหมายจะอยู่ระหว่างอาคารสองตึก Elspeth ทบทวนข้อความที่ Xander บอกกับเธอจนขึ้นใจได้ยันตัวอักษร
และมันก็พาเธอมาถึงประตูบานหนึ่ง, ประตูที่ไม่น่าจะอยู่ตรงนั้น
มันเป็นประตูสีน้ำเงินเข้ม เข้มเสียจนมันแทบจะกลืนไปกับความมืดของซอยที่เธอมาถึง
ที่ตัวเคาะประตูนั้น มีสัญลักษณ์เล็กๆ ที่ดูเหมือนมือของคน แต่มันก็โดนสีดำๆ ที่น่าจะมาจากถ่าน ขีดทับไปมาจนมันเข้มเสียกว่าสีของประตูไปอีก
ซึ่งสัญญลักษณ์อันเล็กๆ นี่ มันกลืนไปกับความมืดเสียจนไม่น่าจะมีใครมองเห็น ถ้าไม่ได้รับข้อมูลมาให้ตามหามันโดยเฉพาะ
Elspeth เคาะประตูนั่นสามที ก่อนที่มันจะเปิดออกมา, ร่างของหญิงสาวที่ดูอายุน้อยยืนรออยู่ที่หลังประตู, เธอสวมหมวกโลหะขนาดใหญ่, ปีกของมันพับลงมาจนถึงจมูกของเธอ, Elspeth มองเห็นดวงตาของเธอได้เพียงจากรอยแยกของปีกหมวกนั้น
กลิ่นของเปลือกไม้หอม, และกลิ่นส้มลอยมาตามกลุ่มควันที่หมุนวนอยู่รอบๆ ตัวเธอ
Obscura Elspeth คิดในใจ, เธอหวนนึกถึงงานที่ร้านซักอบรีด, ถุงเสื้อผ้าของตระกูล Obscura มักจะมีกลิ่นของเครื่องหอมที่ชวนให้เธอนึกถึงวิหารแห่ง Heliod
กลิ่นที่ชวนให้นึกถึงความหลังอันเจ็บปวด, และเธอก็หยุดความคิดของตัวเอง ก่อนที่ Daxos จะกลับเข้ามาในมโนสำนึกของเธออีกครั้ง
หญิงสาวคนนั้น ยื่นมือออกมาโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ, Elspeth ส่งถุงเล็กๆ ที่เธอมี วางไปบนฝ่ามือของเป้าหมาย ก่อนที่เธอจะเดินออกมา
- ณ ห้องทำงานของ Xander -
“ข้าได้ยินมาว่า สินค้าได้ถูกส่งถึงมือแล้ว, ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?” Xander ถามทันทีที่ Elspeth เดินเข้ามาในห้อง
แม้ว่าทั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะดูหรูหรามากเพียงใด, แต่ถ้าเทียบกับห้องส่วนตัวของ Xander แล้ว… มันกลับกลายเป็นสถานที่อันแสนจืดชืดไปเสียนี่
โคมระย้าที่สะท้อนแสงวิบวับจากเหนือหัว, มงกุฏหล่อที่ประดับด้วยภาพของนางฟ้าผู้เศร้าโศกกับปีศาจชวนหัว, ทุกๆ อย่างนั่นเปล่งประกายเป็นสีทอง
“ไม่ติดปัญหาอะไรเลยค่ะ” Elspeth ตอบคำถามนั้น แม้ในใจของเธออยากจะถาม Xander เสียก่อน ว่าเขารู้ได้อย่างไร? เธอรู้ดีว่า Xander คงจะมีวิธี และสายข้อมูลของเขา ที่เธอยังไม่มีสิทธิ์ไปรู้ข้อมูลเหล่านั้น
“ว่าแต่ ฉันจะได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ของ New Capenna ได้หรือยัง?”
“ข้าคิดว่า เราน่าจะเริ่มจากจุดเริ่มต้นของทุกๆ สิ่ง” Xander ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ดูเหมือนเขาจะทิ้งน้ำหนักไปที่ขาข้างซ้าย, แต่ก็ไม่ได้หยิบเอาไม้เท้ามาช่วยพยุงแต่อย่างใด, Elspeth สังเกตว่าเขาจะใช้มันก็แค่ตอนที่อยู่นอกห้องส่วนตัวของเขาเท่านั้น
“เมืองของเราเริ่มต้นมาจากสัญญาที่ไม่น่าจะเป็นไปได้… สัญญาระหว่างอัครเทวทูต กับเจ้าจอมปีศาจ”
“ทำงานร่วมกันเลยเหรอ?” Elspeth เดินตาม Xander ผ่านภาพวาดที่มีแสงสาดเข้ามาขับสีสัน
และแน่นอน มันก็คือภาพของนางฟ้า กำลังจับมือกับปีศาจ
“ศัตรูของศัตรู นับได้ว่าเป็นมิตร, คำนี้จริงเสียยิ่งกว่าจริงในช่วงการก่อตั้ง New Capenna”
“แล้วใครคือศัตรูกันล่ะ?” Elspeth แสร้งถาม
“มันยังเป็นความลับที่ข้าเองก็ยังหาคำตอบอยู่” Xander แตะขมับของเขาราวกับพยายามจะฟื้นคืนความทรงจำ, ความหงุดหงิดปรากฎบนใบหน้าของเขา ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“แม้สุดท้ายมันจะเป็นเรื่องเศร้าที่เหล่านางฟ้าต้องถูกกลืนกินไปเพราะการปกป้องเมือง… รายละเอียดตรงส่วนนี้ มันก็ไม่เหมือนกันในแต่ละครั้งที่เจ้าจะได้ยิน… มันขึ้นอยู่กับว่า เจ้าไปถามใคร” ดวงตาของ Xander เปล่งประกายขึ้นมา
“แต่ที่จะได้ยินบ่อยที่สุด ก็คือสุดท้ายแล้ว พวกปีศาจเองก็อยากจะเข้าร่วมกับการล่าในครั้งนั้น… และพวกมันก็สรรหา 5 ตระกูลมาเพื่อสืบตำนานในชื่อของพวกมันเอง… ด้วยการทำพันธสัญญากับผู้ของแต่ละตระกูล”
สายตาของ Elspeth อดมองไปที่เขาของ Xander ไม่ได้
แน่นอนว่าเขาก็มองเห็นสายตานั้น Xander เผลอหัวเราะออกมา
“ใช่ ข้าเองนี่แหละ คือหนึ่งในผู้ทำสัญญากับปีศาจ… ข้าคือหนึ่งในคนที่ยอมรับการเป็นปีศาจเสริมไปกับพลังของ Vampire ที่ข้ามี”
“งั้น… ท่านคือคนที่อยู่มาก่อนการก่อตั้งเมืองงั้นหรือ?” เธอถามกลับ
“แต่ท่านกลับไม่รู้ว่าตอนนั้นต้องสู้กับใครเนี่ยนะ?”
“ตอนที่ข้าทำสัญญามันก็เป็นเวลาที่นานมาแล้ว… กาลเวลา และผลจากเวทย์บางอย่างในสัญญานั่น ทำให้ความทรงจำของข้าถูกบิดเบือนไป… และข้าเองก็ไม่ได้อยู่ในมหาสงครามก่อนก่อตั้งเมืองเสียด้วยสิ…” Xander เดินต่อไปอย่างเหม่อลอย
“นั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ข้าต้องตามหาข้อมูลอยู่ในทุกวันนี้-เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปจากความทรงจำ… ความว่างเปล่าที่กำลังจะกลืนกินตัวข้า”
Elspeth รู้สึกเห็นใจ Xander ขึ้นมา, เธอจึงเลือกที่จะไม่ถามคำถามในประเด็นนี้อีกต่อไป, และเธอก็นึกถึงคำพูดของ Anhelo ขึ้นมา, เรื่องราวของการจากไปของเหล่านางฟ้า
“แล้วหลังจากนางฟ้ากับปีศาจได้หายตัวไป, ภัยร้ายในตอนนั้นก็หายไปด้วยหรือไม่? พวกเขาคือฝ่ายที่ได้รับชัยชนะใช่มั้ย?”
“ก็เรายังอยู่ที่นี่กันนี่, ใช่มั้ยล่ะ?”
นั่นก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้, แต่สำหรับ Elspeth นั้น เธอต้องการหลักฐานที่ชัดกว่านี้เพื่อเอาไปให้ Ajani กระนั้น Xander ก็พูดขึ้นมาก่อนที่ Elspeth จะยิงคำถามอะไรต่อ
“ข้าคิดว่า เท่านี้คงจะเพียงพอสำหรับวิชาประวิตศาสตร์ New Capenna แล้วล่ะนะ” Xander เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
“รอรับงานต่อไป แล้วเราจะได้คุยกันอีก”
- ณ โกดัง Mezzio -
Elspeth ค่อยๆ ขยับตัว, เธอกระดิกนิ้วเท้าไปมา หวังว่ามันจะกลับมารู้สึกอะไรบ้าง
อาการเหน็บชาเล่นงานเท้าของเธอไปตั้งแต่ 30 นาทีแรก และทางเดียวที่จะช่วยก็คงต้องลุกขึ้นยืนเท่านั้น
ทว่า ถ้าเธอลุกขึ้นยืน มันก็เท่ากับเธอกำลังเปิดเผยตำแหน่งที่ซ่อนตัว, เว้นแต่ว่า เธอจะถอยออกมาจากขอบตึกที่เธอซุ่มอยู่
แต่ถ้าเธอทำแบบนั้น มันก็เท่ากับว่า เธอไม่สามารถเฝ้าระวังเป้าหมายของเธอได้… และนั่น มันก็ทำให้ตัวเลือกนี้เป็นไปไม่ได้
เป้าหมายจะออกมาจากคาบาเร่ต์ ประมาณ 2 ชั่วโมงหลังฟ้ามืด, เธอจะเดินทางไปยังเป้าหมายต่อไป, เจ้าจะรู้เองว่าคนไหนเป็นเป้าหมายที่ต้องสะกดรอย-เธอเป็นสายของพวกเราเอง, ภากิจของเจ้าคือสะกดรอยเธอไปโดยไม่ให้เธอรู้ตัว และคอยดูไม่ให้เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกับเธอ
Xander ออกคำสั่งมา
ถึงเวลาตอนนี้มันก็ล่วงเลยเวลามาหลายนาทีที่เป้าหมายของ Elspeth ควรจะปรากฏตัวออกมาเสียที… แต่ก็ไร้วี่แววของ Vampire ที่เป็น Cabaretti-
ทันใดนั้น ประตูสีเขียวเข้มของคาบาเร่ต์นั่นก็เปิดออกมา, หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมา กระโปรงของเธอสะบัดอยู่เหนือเข่าตามการเคลื่อนไหว
เธอหัวเราะอย่างร่าเริง ก่อนที่จะโบกมือล่ำลาใครซํกคนที่ยังอยู่ในสถานบันเทิงแห่งนั้น
แต่ทันทีที่ประตูบานนั้นปิดลง รอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าของเธอจนหมด มันกลับกลายไปเป็นความเคร่งเครียด และเธอเธอออกเดินไปตามถนนทันที
นี่น่าจะเป็นเป้าหมายที่ Elspeth กำลังรออยู่
เธอเคลื่อนที่ไปตามเงามืดของตึกสูงรอบๆ ข้าง, งานประดับตกแต่งที่หรูหราเกินความจำเป็นของพวกมัน ช่วยให้เท้า และมือของ Elspeth ที่มียึดเกาะได้ง่ายขึ้น
แต่เธอก็ต้องระวังแสงไฟที่อยู่สูงกว่า เพราะมันอาจจะส่งเงาของเธอลงไปที่พื้นถนน และทำให้เป้าหมายรู้ตัวได้
ทว่า อยู่ๆ เป้าหมายก็หยุดเดิน, Elspeth จึงต้องห้อยตัวอยู่หลังรูปปั้นขนาดใหญ่รอไปก่อน
เป้าหมายหักเลี้ยวอย่างกระทัน, มันทำให้ Elspeth คิดว่าเธออาจจะเห็นอะไรบางอย่าง-บางอย่างที่หญิงคนนั้นไม่อยากเจอ
Elspeth ยังตามเป้าหมายของเธอต่อไป จนถึงอุโมงค์เล็กๆ ที่ตัดผ่านอาคาร และเชื่อมไปยังโกดังสินค้าด้านหลัง
“จะไปไหนกันแน่เนี่ยะ” Elspeth บ่นพึมพัมออกมา
เธอกระโดดลงมายังซุ้มทางเดินที่เชื่อมระหว่างอาคารสองหลัง, เธอวิ่งย่องข้ามไปยังใต้อาคารใกล้ๆ ไล่ไปตามหลังคาระเบียง
แน่นอนว่าใครก็ตามที่ผ่านไปผ่านมาแถวๆ โกดังนั้น จะต้องมองเห็นพฤติกรรมสุดน่าสงสัยของเธออย่างแน่นอน, เธอต้องรีบหาจังหวะลงมาที่พื้นถนนให้ได้
ในตอนนี้ เป้าหมายของเธอเดินเข้าไปในโกดังสินค้า และเหมือนว่าเธอจะมีเป้าหมายเป็นประตูที่อยู่ลึกเข้าไปในโกดัง, Elspeth รีบย่องตามไป แต่แนวหลังคามันก็พาเธอมาได้ใกลแค่นี้, ถนนที่ตัดผ่านเส้นทางของเธอ กับอาคารที่ไร้ซึ่งการตกแต่งใดๆ ให้เธอพอจะเกาะเกี่ยวไปได้…
แต่ทั้งนี้ มันก็มีตรอกข้างๆ ที่มันน่าจะพา Elspeth ไปดักรอเป้าหมายของเธอได้
เธอไม่รอช้า เธออาศัยจังหวะข้ามซุ้มทางเดินอีกอันที่พาเธอไปยังยังฝั่งขวาของโกดัง เพื่อไปตามตรอกเมื่อครู่, เธอออกวิ่งขนานไปกับทิศทางที่เป้าหมายของเธอต้องการจะไป, และถ้า Elspeth ไม่ได้คาดการณ์อะไรพลาดไป ตรงไปอีกไม่มาก เธอก็จะพบกับช่องว่างระหว่างตึก ที่เป็นทางร่วมระหว่างตรอกที่เธออยู่ กับเส้นทางหลักของเป้าหมาย
Elspeth ค่อยๆ หย่อนตัวเองลงไป มือของเธอเกาะก้อนอิฐที่ช่วยสร้างอาคารลงมา, แม้เธอจะอยากลงไปให้ถึงพื้นเร็วแค่ไหน แต่เธอก็ไม่อยากให้ตัวเองต้องพลาดล้มลงไปร้องโอดโอย แล้วเรียกภัยร้ายจากเงามืดให้เข้ามาจู่โจมเธอ
“ตัวอะไรล่ะเนี่ยะ?” จมูกแหลมๆ และขนฟูๆ อยู่จ่อๆ หน้าของ Elspeth
“น่ากินชะมัด”
“ออกไปให้พ้นไอ้หนูท่อ” Elspeth ขู่ไล่เจ้าสัตว์ประหลาดที่พึ่งพูดกับเธอ… อันที่จริง พวกมันก็ดูเหมือนแรคคูนมากกว่าหนู แต่มันก็ไม่ใช่เวลาจะมาแก้ไขคำพูด
“พวกเราไม่ใช่หนูโว้ย! โชว์ของหน่อยเพื่อน” มนุษย์แรคคูนคนนั้นดึงมีดสั้นออกมาจากข้างตัว, ซอยแคบๆ กลายเป็นสถานที่ที่ทำให้การต่อสู้เป็นไปได้ยากกว่าเดิม
แถมมันยิ่งทำให้ยากขึ้นไปอีก เมื่อสัตว์หน้าขนพวกนี้เข้าโจมตีเธอก่อนจะได้ตั้งตัว
แต่ Elspeth ก็เอี้ยวหลบมีดนั้นไปได้ “ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับพวกแก!”
เธอจับข้อมือของมันและเหวี่ยงตัวมันราวกับเป็นอาวุธ ที่เอาไว้ต่อกรมนุษย์แรคคูนตัวอื่นๆ
และไม่น่าเชื่อว่ามันกลายเป็นการโจมตีที่ได้ผล, พวกมันถึงกับลงไปนอนกองกับพื้น และเป็นโอกาสที่มากพอให้ Elspeth หลบออกจากการต่อสู้นั้นได้
Elspeth รีบออกวิ่งไปยังช่องว่างที่น่าจะเป็นทางเชื่อมที่เธอคาดเอาไว้
ในขณะที่ Elspeth ซุ่มรอเป้าหมายของเธอ, พวกมนุษย์แรคคูนเมื่อครู่ก็เริ่มส่งเสียงโวยวายอีกครั้ง
แต่ก็พอจับใจความได้ว่าพวกมันไม่เห็นว่า Elspeth หายไปไหนแล้ว, ซึ่งก็ช่วยให้ Elspeth กลับมามุ่งมั่นกับภารกิจของเธอได้อย่างเต็มที่
หลังจากนั้น ก็ไม่มีเหตุวุ่นวายอะไรอีก, Elspeth สามารถสะกดรอยตาม Vampire สาวเป้าหมายของเธอได้จนถึงห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเงามืด
Vampire คนนั้น เคาะประตูแล้วยืนรอครู่หนึ่ง, แสงสว่างวาบจากเวทย์มนต์พุ่งออกมาพร้อมๆ กับประตูที่เปิดออก มันส่งแสงสีม่วงเรื่อๆ ออกมา
Elspeth ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป้าหมายของเธอพูดคุยอะไร, แต่ดูแล้วไม่มีอันตรายอะไร หลังจากจบบทสนทา Vampire เป้าหมายก็ได้รบเชิญให้เข้าไปในห้องนั้น
- ห้องทำงานของ Xander -
“ฉันอยากได้อาวุธ” Elspeth เดินเข้าห้องทำงานของ Xander แล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“บอกเหตุผลของเจ้ามาสิ” Xander นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ท่ามกลางกองหนังสือและคัมภีร์ฝุ่นหนาเตอะมากมาย ที่ Elspeth เองไม่เคยเห็นมากก่อน
การใช้เวลามากมายไปกับการทำงานเป็นพนักงานจัดเรียงวัตถุโบราณ ช่วยให้เธอมองปราดเดียวก็รู้ ว่าที่กองอยู่บนโต๊ะของ Xander นั้น เป็นสิ่งที่เธอไม่คยสัมผัสมาก่อน
มันคือสิ่งที่ Xander เลือกจะเก็บไว้ที่ไหนซักที่… ที่ไม่ใช่ของส่วนกลาง
“ไม่ใช่ว่าท่านรู้อยู่แล้วหรอหรือ?” Elspeth เลิกคิ้วขึ้น
“แม้ว่าคนมากมายจะเชื่อว่าข้ารู้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่หรอก นั่นไม่ใช่เรื่องจริง” Xander ยังคงง่วนอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า
“อย่าหลอกกันเลยน่า”
“ดี… นั่นหมายความว่าข้าทำงานในส่วนของข้าได้ดี” เขาปิดหนังสือในมือ มองมายัง Elspeth
“เป้าหมายล่ะ”
“เธอไปถึงที่หมายได้โดยไม่มีปัญหาอะไร, แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่”
“โอ้?”
“ฉันโดนพวกมนุษย์แรคคูนโจมตี”
“ข้าเดาว่า เจ้าก็จัดการได้” เขาเลิกคิ้วขึ้น
“ฉันไม่เป็นอะไร” Elspeth เดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะที่ Xander นั่งอยู่, สีหน้าของเขาแสดงออกซึ่งความพึงพอใจมากกว่าที่จะหงุดหงิดในความมุทะลุของ Elspeth
“แต่ถ้าฉันโดนอะไรโดดเข้าใส่โดยไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้อีก ฉันคงพูดได้ไม่เต็มปาก, ฉันอยากได้อะไรซักอย่างเพื่อปกป้องตัวเอง”
Xander เคาะนิ้วของเขาลงบนโต๊ะ พลางคิดทบทวนสิ่งที่เธอพูด
“เจ้าจะได้อาวุธในตอนที่เจ้าคู่ควร, ในตอนที่เจ้าได้เป็นเจ้าหน้าที่ของ Maestro, ไม่เช่นนั้น เจ้าก็ยังต้องทำงานเป็นครั้งๆ ไป” Xander ส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“ตอนนี้คงต้องไปหาท่อนเหล็กมาใช้เป็นอาวุธไปก่อนนะ”
Elspeth ที่ได้ยินประโยคนั้น ไม่ค่อยแน่ใจว่านี่เป็นคำแนะนำ หรือเป็นการประชด เธอจึงเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็น
“ฉันว่าเรากลับเข้าเรื่องดีกว่า, ฉันทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จเรียบร้อย, คราวนี้เป็นทีของท่านบ้าง”
Xander หัวเราะออกมาเบาๆ, ขยับสร้อยคอให้เข้าที่
“ต้องเป็นการเป็นงานตลอดเลยหรือไง? ข้ากำลังจะชวนเจ้าดื่มอะไรซักหน่อย”
ว่าแล้ว เขาก็เอาขวดเล็กๆ สองขวดออกมาจากลิ้นชัก
ในขวดนั้น มันเป็นสสารที่เปล่งปลั่งราวกับมันจะเรืองแสงออกมา, แสงสีทองราวแสงอาทิตย์ยามกลางวัน ที่มันม้วนขด หมุนวนเปลี่ยนจากสีส้มไปเป็นสีม่วงที่มืดมิดราวกับเที่ยงคืนยามราตรีอยู่ในขวดเดียวกัน
มันดูเหมือนจักรวาลอัดขวด, มันดูเหมือนสสารที่อยู่ระหว่างของแข็ง, ของเหลว และแก๊ส…
มันดูเหมือนพลังเวทย์มนต์อันบริสุทธิ์
“นั่นมั…” เสียงของ Elspeth แผ่วเบาเสียจนจะกลายเป็นการกระซิบ เมื่อเธอนั่งอยู่ต่อหน้าน้ำผึ้งแห่งพระเจ้า
“Halo” Xander ตอบกลับ, เขาเปิดจุกผลึกแก้วออก, สสารนั่นส่งวงแหวนออกมาเหนือขวดก่อนที่มันจะจางหายไปในอากาศ “มันออกจะน่าเสียดายที่เจ้ามาถึงที่นี่เสียนานนม แล้วยังไม่ได้ลิ้มลองมัน”
Xander ริน Halo ใส่แก้วเสียจนปริ่มปากขอบ กระนั้นแก้วที่มี มันก็บรรจุได้ไม่ต่างจากปริมาณ 1 จิบ, Elspeth ยกแก้วขึ้นมาจรดริมฝีปากของเธอ เพ่งมองมันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะดื่มมันเข้าไป
เธอไม่ได้เตรียมใจว่ามันจะส่งอุณหภูมิอุ่นๆ ออกมา
รสชาติชวนพึงพอใจ… และยามบ่ายที่แสนจะปลอดโปร่ง กับ Daxos
รสชาติของความอบอุ่น ของบ้านที่มีอยู่ในความทรงจำลึกๆ ของเธอเท่านั้น
อันที่จริง ใช้คำว่าดื่มกับมันออกจะไม่ตรงตามความหมายเสียเท่าไหร่, มันควรจะใช้คำว่าซึมซับมันเสียมากกว่า
และมันก็ขับส่งให้เธอรู้สึกถึงพลัง, ถึงเป้าหมาย กล้ามเนื้อของเธอหายจากอาการเหนื่อยล้าที่สะสมมา, ประสาทสัมผัสของเธอเฉียบคมกว่าที่เคย และพลังเวทย์ที่อยู่ในตัวของเธอร่ำร้องอยากจะปลดปล่อยออกมา
“ฉันพอจะเข้าใจแล้วล่ะ” Elspeth ยอมรับออกมา, และวางแก้วในมือลง
“มันดึงดูดมากพอที่จะทำให้คนต้องต่อสู้แย่งชิงมันมา… และการต่อสู่ที่เราเคยมี” Xander ขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาเจือไปด้วยความขมขื่น
“Halo คือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่นางฟ้าประทานมาให้”
“พวกท่านจะให้ของแบบนี้มาทำไม?” เรื่องราวต่างๆ เริ่มเชื่อมโยงกันในหัวของ Elspeth, แต่เธอก็ต้องการข้อมูลเพื่อสนับสนุนความคิด
“ไม่มีใครรู้หรอก, บางที สุดท้ายแล้ว New Capenna อาจจะเป็นแค่การเตรียมการสำหรับปาร์ตี้สุดเหวี่ยงครั้งหนึ่งก็เป็นได้” Xander หัวเราะ และส่ายหน้าไปมา… เขาเองยังไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา
แน่นอน Elspeth เองก็ไม่รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่เชื่อได้ซักนิด, ของที่หายาก และทรงพลังอย่าง Halo ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นเพียงสารกระตุ้นชั่วครู่ชั่วยามอย่างแน่นอน, มันต้องมีเหตุผลของมัน… และเธอก็คิดว่า มันน่าจะเป็นสิ่งที่เอาไว้ช่วยพิชิต Phyrexian
- สวนสาธารณะกลาง เขต Park Height -
งานของคืนนี้ง่ายเสียจนน่าเบื่อ, ขวดบรรจุ Halo ส่งความรู้สึกอุ่นๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อของ Elspeth แม้อันที่จริงเธอเองก็ไม่แน่ใจว่านั่นคืออุณหภูมิจริงๆ หรือเป็นความรู้สึกอบอุ่นที่หวนนึกตอนที่เธอได้ดื่มด่ำมัน
ภารกิจของเธอก็แค่เอา Halo ไปส่งที่พุ่มไม้แห่งหนึ่งในสวนสาธารณะ แล้วก็กลับออกมา ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
เมื่อเทียบกับภารกิจก่อนๆ ที่ Xander มอบให้ ภารกิจนี้มันก็เหมือนกับ ‘เดินชมดอกไม้ในสวน’ จริงๆ
กระนั้น Elspeth ก็ยังคงระวังตัวเช่นเดิม, เพราะในเวลาย่ำค่ำเช่นนี้ มันอาจจะเกิดเหตุอะไรไม่คาดฝันได้
ท่ามกลางผู้คนที่ยังสัญจรไปมา Elspeth จึงเลือกทางเดินที่อ้อมกว่าไปยังเป้าหมายแทน
และเมื่อถึงจุดส่งของ เธอก็เห็นถุงกระดาษสีน้ำตาลวางไว้ข้างๆ ม้านั่งใกล้ๆ กับพุ่มไม้ ราวกับใครซักคนลืมถุงอาหารมื้อเที่ยงของเขาไว้ตรงนี้, และเมื่อสำรวจรอบๆ ว่าไม่มีใครตามเธอมา Eslpeth ก็ตรงเข้าไปที่นั่นทันที
แต่เมื่อเธอกำลังจะหยิบถุงกระดาษนั้น ข้อมือของเธอก็ถูกใครซักคนคว้าเอาไว้
สายตาของเธอมองกลับไป, เธอพบกับผู้หญิงอีกคน, ผมครึ่งหนึ่งของเธอปล่อยสยายลงมาเป็นสีดำ แต่อีกครึ้งหนึ่งถูกถักเปียขนานไปกับศรีษะ, เธอคนนั้นแต่งตัวดีพอๆ กับ Xander แต่ออกจะเหมาะกับการเดินในเมืองมากกว่า
และลักษณะที่โดดเด่นจากซองธนูที่ไพล่หลังของเธอเอาไว้ บวกกับกระเป๋าที่น่าจะเก็บคันธนูเอาไว้ คงเดาได้ไม่ยาก ว่าเธอต้องมีความชำนาญทางด้านอาวุธแน่ๆ
“ฉันสงสัยมานานแล้วว่าใครจะมาเก็บมันไป” หญิงคนนั้นพูดด้วยเสียงเย็นยะเยือก
“ฉันลืมไว้เมื่อตอนกลางวันน่ะ” Elspeth ตอบ
เพราะดูๆ แล้ว ผู้หญิงคนนี้ไม่น่าจะเป็นคนที่มารอรับ Halo ไป, เธอดูแตกต่างจากชาว New Capenna คนอื่นๆ ราวกับเธอส่งเสียงทำนองอะไรบางอย่างออกมา… เสียงที่คล้ายกับ Elspeth
ใช่แล้ว… เธอคือ Planeswalker
“อย่าโกหกกันเลยน่า” หญิงคนนั้นส่งยิ้มกลับมา
“เธอดูไม่เหมือนคนขี้ลืมเท่าไหร่นะ” สายตาของหญิงคนนั้น บ่งบอกว่าเธอรู้จักเครื่องแต่งกายแบบ Maestro, เครื่องแบบที่ Eslpeth สวมใส่อยู่
“และเธอก็ดูไม่เหมือนคนที่จะทำงานให้พวกตระกูลมาเฟียซะด้วย” น้ำเสียงของเธอปนไปด้วยความสงสัยมากกว่าจะตัดสิน Elspeth จากภายนอก
Elspeth หัวเราะคึกคัก “ฉันมีเหตุผลของฉันอยู่น่ะ”
“ฉันเชื่อว่าเป็นแบบนั้น”
“ฉันกำลังศึกษาประวัติศาสตร์ของดาวดวงนี้” Elspeth ยอมรับออกมาตรงๆ
เธอคิดว่าการพูดไปตามตรง จะได้ประโยชน์มากกว่าการปิดบังเป้าหมายของเธอ, เพราะอย่างน้อยๆ คนที่เธอคุยด้วยก็เป็น Planeswalker เหมือนๆ กับเธอ และเธอคนนี้อาจจะเป็นกำลังที่จะช่วย Elspeth ได้ในภายภาคหน้า… หรืออาจจะดีกว่านั้นไปอีก ถ้าเธอคนนี้เอง เป็นคนที่รู้เรื่องต่างๆ ของ New Capenna
“ทำไมล่ะ?”
“ที่นี่น่าจะเป็นบ้านเกิดของฉัน” Elspeth พูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาน่าจะแต่ก็ไม่รู้สึกแบบนั้น, ภาพที่ยังติดอยู่ในหัวของเธอคือช่วงเวลาของเด็กน้อยที่ติดอยู่ในคุกใต้ดิน ช่วงเวลาที่เธอไม่อยากจะเรียกมันว่าบ้าน
“แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ, ฉันคิดว่ามันน่าจะมีภัยร้ายอะไรบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ และฉันกำลังตามหาข้อมูลชุดนั้น”
“ฉันก็คิดแบบเดียวกันนะ, อ่อ… ฉันชื่อ Vivien”
“Elspeth” เธอบอกชื่อของเธอไป เพราะเธอไม่คิดว่าการไม่ซื่อตรงต่อตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่เป็นตัวเธอ และอีกอย่าง Vivien เองก็ดูน่าเชื่อถือ
“ว่าแต่ เธอจะเก็บข้อมูลไปให้ใครล่ะ?” Vivien ถาม, คำถามนี้ทำให้ Elspeth นิ่งไปพักหนึ่ง “ให้ฉันเดานะ Gatewatch ใช่มั้ย?” คำถามที่สองยิ่งทำให้ Elspeth สนใจ Vivien ยิ่งขึ้น
“คุณมาที่นี่เพราะ Gatewatch เหมือนกันงั้นเหรอ?”
“เริ่มต้นก็ไม่, แต่หลังจากที่เห็นอะไรๆ ที่นี่แล้วล่ะก็ ฉันว่าพวกเราอาจจ-” Vivien ขยับหัวของเธอส่งสัญญาณไปทางขวา พร้อมกับหรี่ตาลง
“มีคนตามเธอมาน่ะ”
ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจ, เพราะ Xander เองรู้ไปเสียทุกย่างก้าวที่ลูกน้องของเขาขยับ มันก็ไม่แปลกที่เขาจะส่งขนมาตามดู Elspeth
“ฉันคงจะต้องไปก่อน, ไม่อยากตอบคำถามน่ะ” Vivien ลุกขึ้น
“ฉันอาจจะมีข้อมูลบางอย่างที่ช่วยเธอเรื่องภัยซ่อนเร้นได้นะ”
“คุณมีข้อมูลงั้นเหรอ?” Elspeth ลุกตาม เสียงของเธอค่อยๆ เบาลง เพราะไม่อยากจะให้ใครรู้เรื่องนี้
“ฉันพาเธอไปเจอกับอะไรบางอย่างที่น่าสนใจได้นะ, ถ้าเธอจะตามม-”
“ฉันไปไม่ได้” Elspeth ตอบสวนทันควัน
“ฉันกำลังจะรู้สาเหตุที่ New Capenna เอาชนะ-” เธอนิ่งไป… เธอไม่อาจพูด Phyrexian ออกมาในตอนนี้ได้
“-ภัยร้ายจากอดีตกาล… ฉันยังไปไม่ได้ จนกว่าจะได้ข้อมูลชุดนี้”
“ไม่เป็นไร” Vivien ตอบอย่างไม่กดดัน ซึ่งช่วยให้ Elspeth รู้สึกดีขึ้น, Elspeth ต้องการเวลาอีกเล็กน้อย… ไม่ใช่เพียงเพื่อจัดการภารกิจของ Ajani แต่เพื่อตัวของเธอเองเช่นกัน
“ฉันก็จะสืบข้อมูลจากทางฉันเหมือนกัน, แล้วจะติดต่อมาถ้าฉันมีข้อมูลเพิ่มเติม”
“ทำไมถึงเลือกจะช่วยฉัน?” ช่วงเวลาที่ Elspeth ใช้ชีวิตอยู่ใน New Capenna อาจจะนานเกินไปซักนิด มันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ๆ มีคนแปลกหน้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
“ก่อนเธอจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างตระกูลมาเฟีย เธอควรจะรู้รายละเอียดทั้งหมดของมัน” Vivien พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วค่อยเจอกันใหม่”
“เมื่อไหร่ล่ะ?” Elspeth ถาม แต่เธอยังควบคุมระดับเสียงของเธอไม่ให้ดังเกินไป
“เมื่อฉันมีข้อมูลที่คุ้มค่า” Vivien พยักหน้า
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
พุ่มไม้ข้างๆ ม้านั่งแหวกตัวออกรับการเดินของ Vivien ราวกับเปิดทางด้วยเวทย์มนต์… หรืออาจจะเป็นแค่มายากลลวงตากันแน่? หรืออาจจะเป็นแค่วิธีเดินแสนคล่องแคล่วของเธอ ที่ช่วยเปิดทาง
ในตอนนี้ คนของ Xander ก็ใกล้เข้ามาแล้ว, Elspeth หย่อนขวด Halo ลงไปในถุงนั้น ก่อนที่จะเดินกลับไปยังพิพิธภัณฑ์ของ Maestro
- ณ ห้องทำงานของ Xander -
“ขอโทษที่มาสาย” Elspeth เดินเข้ามายอมรับความผิดของตัวเอง เพราะก็เห็นๆ กันอยู่ว่า Xander ได้ส่งคนสะกดรอยตามเธอไป, Elspeth จะแกล้งเมินไปก็ไม่รอดพ้นสายตาของเขาอยู่ดี
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” Xander ที่ยืนอยู่ตรงกระจกบานใหญ่หลังโต๊ะทำงานของเขาตอบ, ภาพที่เห็นมันทำให้ Elspeth จินตนาการไปว่าเขาเป็นดั่งนกนักล่า, ดูสง่างาม แต่ก็พร้อมจะสาดส่งความตายจากเบื้องบนสู่เหยื่อเบื้องล่าง
“ขอบคุณที่ท่านยังอยู่รอ” Elspeth เดินไปข้างๆ Xander
“ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกับเจ้า” เขาเหลือบมองมา, ใบหน้ามีรอยยิ้มมุมปาก
“และข้าก็บอกเจ้าแล้ว ไม่ต้องขอโทษอีก, มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
Elspeth หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา, เธอไม่เข้าใจโลกใบนี้ หรือผู้คนที่อาศัยอยู่เลยซักนิด, มันอดคิดไม่ได้ว่าเธอจะมีโอกาสมองโลกในมุมมองแบบเดียวกับ Xander ได้หรือไม่
แต่เธอเองก็พบว่า Xander นั้น, ไม่เคยทำตัวแย่ๆ ใส่เธอเลย, มันกลายเป็นว่า เธอได้ผูกมิตรเป็นดั่งครอบครัวเดียวกับนักปราชญ์-ฆาตรกรคนนี้…
แต่ที่จริง จะเรียกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันก็ดูจะเกินเลยไปซักนิด, ในสถานะของความสัมพันธ์นี้ ควรจะเรียกได้ว่า เธอเข้าใจเขาเสียมากกว่า
“ว่าแต่เรื่องสำคัญที่ท่านพูดถึงคือเรื่องอะไรล่ะ?” Elspeth ถาม, ในใจของเธอก็รู้สึกโล่งใจที่ Xander ไม่ติดใจเรื่องที่เธอเข้ามาสาย
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับ Adversary บ้าง?”
“ก็เคยได้ยินชื่อมาบ้าง” เธอตอบไปตามจริง เท่าที่ได้ยินจากห้องพักรวมของเหล่า Maestro, พวกที่พูดถึงก็ดูหวาดระแวง และไม่กล้าพูดชื่อนั้นออกมา
“เจ้านั่นมันกลายเป็นภัยในทุกอณูของเมืองนี้” Xander มองออกไปนอกหน้าต่าง มองผ่านเส้นขอบฟ้าที่เต็มไปด้วยอาคารสูงๆ ท่ามกลางแสงหม่นๆ ของดวงจันทร์
“ที่ New Capenna ยังมีสันติอยู่ ก็เป็นเพราะมันยังคงความสมดุลไว้ได้-สมดุลของความเข้าใจกันและกันในแต่ละตระกูล, เราเคารพและไว้ใจตระกูลอื่น, พยามยามให้ทุกๆ คนอยู่ในการแข่งขันที่เป็นธรรม”
“การแข่งขันที่เป็นธรรม?” Elspeth เลิกคิ้วด้วยความฉงน
“ทุกตระกูลต่างทำธุรกิจอยู่ในขอบเขตที่ตระกูลอื่นๆ จะจ่ายไหว”
“เป็นโครงสร้างสมดุลที่ประหลาดชะมัด”
“มันอาจจะไม่ใช่โครงสร้างสังคมที่เจ้าคุ้นเคย, แต่มันคือสิ่งที่รักษา New Capenna” Xander พักมือไว้บนไม้เท้าของเขา
“เราสร้างกฏขึ้นมาจากความวุ่นวาย มันเกาะเกี่ยวกับผู้คนขึ้นมาเป็นโครงสร้างสังคม… และมันก็เป็นเรื่องสนุกอยู่ไม่น้อย”
“สนุก?” Elspeth พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ใช่, สนุก” Xander ตอบ
“เจ้าน่าจะได้ลองใช้ชีวิตท่ามกลางความวุ่นวายนี้, มันน่าตื่นเต้น-ตราบเท่าที่เจ้ายังอยู่บนสุดของห่วงโซ่แห่งความวุ่นวาย”
“ฉันไม่คิดว่าฉันจะไปอยู่ตรงนั้นได้หรอกนะ” Elspeth พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่ต้องเป็นกังวลไป, ข้าก็ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก” Xander ยิ้มมุมปากออกมา แต่สีหน้าของเขาก็กลับไปอมทุกข์อีกครั้ง
“Adversary กำลังทำให้ทุกๆ อย่างพัง, เขาเข้าไปยุ่งกับการแลกเปลี่ยน Halo ที่พวกเราทั้ง 5 ตระกูลหาจุดลงตัวได้เมื่อหลายศตวรรษก่อน…
เราใช้มันเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนผู้คน และถ้า Adversary มันควบคุมเส้นทางการแลกเปลี่ยน Halo ได้มากกว่านี้, มีหวังพวกเราได้ก่อสงครามเพื่อแย่งเศษขยะกันแน่ๆ”
“แล้วท่านอยากให้ฉันทำอะไรกับมันล่ะ?” Elspeth พูดเข้าประเด็นทันที
“เจ้าเป็นคนฉลาด, ขยัน, ช่างคิด และสิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้ายังเป็นเพียงคนทั่วๆ ไป ที่ไม่มีใครรู้จัก…
ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ให้เจ้าเข้าไปปะทะตรงๆ กับ Adversary หรอก, ข้าแค่อยากให้เจ้าแทรกซึมไปในตระกูล Cabaretti”
“แล้วตระกูล Cabaretti เกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?”
“พวกนั้นอ้างว่าสามารถติดต่อกับ Adversary ได้-ซึ่งเกี่ยวข้องกับแท่นบูชา (The Font) และนั่นคือเส้นทางที่จะทำให้พวกเขาได้ Halo มาอย่างไร้ขีดจำกัด”
“อยากให้ฉันไปขโมยมันมางั้นเหรอ?”
“ไม่อยู่แล้ว, ข้าแค่อยากให้เจ้าไปตรวจสอบข่าวลือเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องจริงเท็จแค่ไหน?
และถ้ามันเป็นเรื่องจริง แค่เจ้ากลับมาบอกข้าว่าพวกนั้นเก็บ The Font ไว้ที่ไหน, เปิดทางให้, ที่เหลือข้าจะจัดการเอง
“ท่านแน่ใจแล้วหรือคะ?” Elspeth ถาม และจ้องตาของเขา
“มันจะไม่ทำให้เกิดการปะทะกันของสองตระกูลเหรอ?”
“ถ้าเจ้าไม่พลาด, ถ้าเจ้ายังรักษาสัตย์ของการเป็น Maestro, พวก Cabaretti จะไม่มีใครล่วงรู้แผนการนี้
แน่นอนว่ามันอาจจะเสี่ยงที่เอาตระกูลเข้าไปเสี่ยง แต่มันก็เป็นความเสี่ยงที่ข้าต้องรับมันเอาไว้…
กาลเวลาได้ทำให้ทุกๆ อย่างเปลี่ยนไป, ถ้าข้ายังคงเล่นตามกฏเดิมๆ ข้าก็จะตายไปกับกาลเวลา…
ถ้าสุดท้ายมันจะกลายเป็นสงคราม, ข้าก็อยากจะเป็นคนแรกที่ได้โอกาสเริ่มก่อน” Xander พูดออกมาราวกับจะเป็นคำปฏิญาณตน
“และเมื่อพูดถึง…” Xander หยิบมีดมาจากโต๊ะ, มันเป็นมีดที่หน้าตาแตกต่างไปจากมีดส่วนใหญ่ของ Maestro-ด้ามจับของมันดูปกติดี แต่ทว่า ใบมีดของมันกลับตั้งฉากกับตัวด้าม, มันดูหรูหราแฉกเช่นเดียวกับอาวุธของตระกูล Maestro และมันก็ใช้งานได้
“นี่เป็นอาวุธของเจ้า”
“มีดสั้นงั้นเหรอ?” Elspeth รับมันมา
“เจ้าเคยบอกว่าอยากได้มัน, และเจ้าก็ควรค่าที่จะได้ครอบครอง, ในฐานะของเจ้าหน้าที่ Maestro”
แม้ว่าเธอไม่เคยคิดจะหาที่ทางในตระกูลมาเฟีย, แต่การได้รับการยอมรับก็อดทำให้เธอยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจไม่ได้
“ขอบคุณค่ะ”
“ข้าขอบใจเข้าเช่นกัน ที่พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าเจ้านั้นคู่ควร, ถ้าภารกิจนี้สำเร็จ ข้าอาจจะให้มีดที่ดูดีกว่านี้ในตอนที่เจ้ากลับมา”
“ฉันจะทำให้เต็มที่, แต่ตอนที่ฉันกลับมา…”
“ทำไมรึ?” ความมุ่งมั่นของ Elspeth ทำให้ Xander พึงพอใจได้ทุกครั้ง
“ฉันไม่อยากได้มีดอันใหม่, ฉันอยากเข้าถึงจดหมายเหตุ และปูมบันทึกของท่านทั้งหมด, ฉันขอทำงานนี้เป็นงานสุดท้าย ฉันไม่อยากทำงานแลกข้อมูลอันน้อยนิด ฉันอยากได้มันทั้งหมด
ฉันรู้ว่ามันมีภัยร้ายที่อันตรายเกินกว่า Adversary และฉันมั่นใจว่าถ้าท่านให้ฉันเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด ฉันจะบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร”
Xander ยืนนิ่งไม่ไหวติง, Elspeth รู้สึกถึงสายตาที่มองมา ราวกับเขากำลังประเมินเธออยู่… มันอดทำให้เธอกังวลไม่ได้ ว่าสายสืบของ Xander นั้นได้แจ้งเรื่องที่เธอได้พบกับ Vivien ที่สวนสาธารณะหรือไม่? และพวกเขารู้อะไรเกี่ยวกับบทสนทนานั้นบ้าง
“ได้สิ” สุดท้ายเขาก็พูดออกมา
“เจ้าจบภารกิจนี้ และทุกอย่างที่ข้ารู้, ทุกๆ ข้อมูลที่ข้ามี จะเป็นของเจ้า”
“ขอบคุณค่ะ” Elspeth หันหลังเพื่อเดินออกไป แต่ Xander ก็เรียกเธอกลับมา
“เรายังไม่จบเรื่องกันนะ”
“ยังมีอะไรอีกงั้นเหรอ?”
Xander ฉีกยิ้มออกมา
“เจ้าจะเข้าคลับของพวก Cabaretti ด้วยชุดแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ”
- บทส่งท้าย - ณ คลับคาบาเร่ต์ของ Cabaretti -
Elspeth ขยับขนสัตว์ที่ฟูฟ่องของผ้าคลุมทางขวาของไหล่เธอให้เข้าที่
เธอฉงนตั้งแต่ Xander เริ่มจัดการกับชุดนี้ จนตลอดการเดินทางมายังคลับที่นี่
นี่มันเป็นงานตัดเย็บที่สวยงามไร้ที่ติ
ชุดเกราะที่รับกับอก, หัวไหล่ และสโพกของเธอ โดยมีผ้าไหมสีขาวอีกชั้นรับกัน
สิ่งที่ทำให้เธอประทับใจมากที่สุดน่าจะเป็นชุดเกราะอ่อนส่วนขาที่สานจากโลหะชั้นดี มันดูเหมือนถุงน่องตาข่ายมากกว่าชุดเกราะอันเทอะทะ
มงกุฏที่รับกับองศาของคิ้ว ทำให้เธอรู้สึกดั่งราชินี
ทั้งหมดนี่ ทำให้เธอไร้ความกังวลที่จะเข้าร่วมงานสังสรรค์ที่คลับของ Cabaretti
คลับที่ Xander แนะนำให้เธอเดินทางไปที่นั่น, เพราะมันคือสถานที่ที่พวกเขาจะมองหาคนหน้าใหม่เข้าตระกูล
หลังจากสำรวจรอบๆ Elspeth ก็เดินตรงไปยังบาร์ทันที
“Halo?” Elf บาร์เทนเดอร์ที่อยู่หลังบาร์ถามขึ้น เขาวางผ้าเช็ดปากที่ด้นด้วยสัญลักษณ์ของ Cabaretti ลงที่หน้าเธอ
“ฉันไม่ได้มาดื่ม, ฉันมาหางานน่ะ” Elspeth พูดอย่างสบายๆ
“ตรงนี้ไม่มีสต็อกงานน่ะสิ, มีแต่ Halo” พวกบาร์เทนเดอร์หัวเราะคิกคัก
Elspeth รู้แล้วว่าความพยายามของเธอคงไม่เป็นผล, เธอคงต้องหาทางใหม่
“ฉันรู้ว่าพวกคุณกำลังจะจัดงาน Crescendo, พวกคุณไม่อยากได้คนช่วยซักหน่อยเหรอ? ฉันอยากทำงานกับพวกคุณจริงๆ นะ”
“เธอคิดว่าผมเป็นคนตัดสินใจรึไง?” พนักงานหลังบาร์ถามกลับ
“ฉันคิดว่าคุณรู้ว่าใครตัดสินใจได้ไงล่ะ”
“แล้วผมจะเอาคอตัวเองไปขึ้นเขียงทำไมเล่า? เราไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ” เขาหันไปทางมนุษย์สิงห์สาวอีกคนที่พึ่งเข้ามาถึง
“เอาเหมือนเดิมใช่มั้ยครับ? Songbird?”
“Rocco นายรู้ใจฉันจริงๆ” เธอพูดโดยไม่แหงนหน้าขึ้นมาจากโน๊ตเพลงตรงหน้า ซึ่งยิ่งน่าแปลกใจขึ้นไปอีกว่าเธอมองเห็นพนักงานได้ยังไง ในเมื่อปกคอมขนสัตว์ของเธอมันสูงเสียจนจะมิดหัวขนาดนั้น
“เอาเข้มแค่พอสนุกนะ เดี๋ยวฉันต้องขึ้นแสดงอยู่”
“ได้แล้วครับ” บาร์เทนเดอร์ส่งแก้ว Halo เล็กๆ ให้กับเธอ
“เรื่องงา-” Elspeth เริ่มพูด หวังว่าพวกเขาจะสนใจเธออีกที
แต่สายตาของ Rocco ที่ส่งกลับมานั้น ราวกับเขาจะบอกว่าแกคิดว่าแกเป็นใคร?ก่อนจะหันหลังกลับไป
Elspeth กัดริมฝีปากของเธอ, มือเริ่มอยู่ไม่สุขเริ่มเล่นตะเข็บถุงมือของตัวเอง, เธอคงจะโผงผางเกินไปหน่อย มันถึงทำให้เรื่อ-
เสียงหัวเราะดังมาจากมนุษย์สิงห์ข้างๆ ก่อนที่ Elspeth จะเห็นว่าเธอคนนั้นมองมาซักพักหนึ่งแล้ว
“อยากได้งานทำขนาดนั้นเลยเหรอ? ฮืมม?” เสียงพูดของเธอเหมือนกับท่วงทำนองของเพลงเสียมากกว่าจังหวะการพูดปกติ
“ขึ้นอยู่กับว่าใครถาม?” Elspeth พยายามตอบเลี่ยงๆ แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ผิดอีกครั้ง
“ฉันไม่อยากจะเชื่อ ว่าเธอไม่รู้จักฉัน” ทนุษย์สิงห์คนนั้นเอามือลูบไล้ชุดราตรีของตัวเอง
“เธอต้องเคยได้ยินชื่อของนักร้องสาวพราวสเน่ห์ Kitt Kanto มาก่อนสิ?”
“ขอโทษด้วยค่ะ, แต่ฉันไม่รู้จักจริงๆ” Elspeth ลังเลเล็กน้อย ว่าเธอควรจะโกหกเพื่อรักษาหน้าของ Kitt เอาไว้หรือไม่?
ซึ่งก็เป็นโชคดี ที่ Kitt เองไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น
“งั้นมาได้เวลาพอดีเลย, ฉันกำลังจะขึ้นแสดงในอีกไม่ถึงชั่วโมง, มาลองฟังดูสิคุณ…?”
“Elspeth”
“ชื่อ Elspeth จริงดิ?”
“ใช่” Elspeth ไม่ค่อยแน่ใจว่าเหตุใด แค่ชื่อของเธอจะทำให้หูของ Kitt กระดุกกระดิกไปมา
“ฉันว่า เธอต้องมากับฉันแล้วล่ะ, ฉันมีคนที่จะจั๊กจี้กับชื่อของเธอแน่ๆ” Kitt ลุกขึ้นและเดินนำ Elspeth ไปยังที่นั่งโซฟาโค้ง ที่มีผู้หญิงอีกสองคนนั่งรออยู่แล้ว
“Kitt เธอพาใครมาเนี่ย?” หญิงที่ดูมีอายุมากกว่าถามขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย, เจ้าหมาน้อยที่นอนขดตัวอยู่บนโต๊ะยืดตัวขึ้นมาฟังบทสนทนานี้ด้วย
“ตอบเธอเลย” Kitt สะกิด Elspeth อย่างเย้าแหย่ ก่อนที่เธอจะนั่งลง
“Elspeth”
“Elspeth” หญิงคนที่นั่งอยู่ ทวนชื่อของเธออย่างอารมณ์ดี
“ไม่เคยเจอ Elspeth ตัวเป็นๆ นอกจากจะเห็นตามป้ายหลุมศพ, ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกสมัยใหม่ แม่สาวน้อย, ฉันชอบชุดเธอจังเลย หวังว่าเธอจะไม่ได้ให้ผีมาตัดชุดให้เข้ากับชื่อของเธอนะ, ฉันชื่อ Jinnie”
Jinnie… มือขวาของ Jetmir, หัวหน้าตระกูล Cabaretti, ดูเหมือนโชคจะกลับมาเข้าข้าง Elspeth อีกครั้ง
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ” Elspeth มองไปยังหญิงสาวอายุน้อยอีกคน, เธอดูเหมือนจะแต่งตัวมาเบากว่าเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสอง แถมชุดที่เธอใส่อยู่ก็ดูจะหลวมโพรกราวกับเธอเลือกมาเพื่อปิดบังรูปร่างที่แท้จริง
“นี่คือ Giada” Jinnie แนะนำแทนสาววัยรุ่นคนนั้น, ในขณะที่มือของเธอก็ลูบหลังเจ้าแมวอีกตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ Giada” Elspeth พูดกับเด็กวัยรุ่นคนนั้นตรงๆ, แต่เธอก็แค่หยักหน้าตอบ
“Elspeth อยากได้งานทำน่ะ, และถ้าได้ช่วยงาน Crescendo ก็ยิ่งดี” Kitt พูดขึ้นมา “เธอดูเหมือนคนที่เธอ (Jinnie) จะชอบ, ทั้งชื่อกับจริตทางแฟชั่นจัดจ้านขนาดนี้ ฉันว่าเอาเธอไปเสริมงานเสิร์ฟได้ง่ายๆ เลยนะ”
“เธอ (Kitt) เข้าใจงานพวกนี้ดีกว่าฉันอยู่แล้วล่ะ” Jinnie ยอมรับตรงๆ, เธอมองไปที่ Elspeth อีกครั้ง “ว่าแต่ที่ Kitt พูดมาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”
Elspeth พยักหน้าตอบ
“ถ้าแบบนั้น ฉันก็มีงานเล็กๆ น้อยๆ ให้เธอช่วย, ถ้าเธอทำงานได้ดี เธออาจจะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Cabaretti ก็เป็นได้นะ
และขอให้เชื่อฉันได้เลย ถ้าฉันจะพูดว่ามันจะเป็นงานปาร์ตี้ที่เธอไม่อยากพลาด”
Magic Story By Elise Kova