- ณ พิพิธภัณฑ์ Maestro -
ห้องโถงที่คุ้นเคย, มันถูกดูแลมาด้วยความละเอียดละออ, สำหรับ Xander แล้ว นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เทียบได้กับโบสถ์
ในคืนนี้, คืนก่อนเทศกาล Crescendo, Xander เดินชมความงามสุดวิจิตรของมันเป็นครั้งสุดท้าย…
ความสงบและสันติกำลังจะจากหายไป และถ้าสายสืบของเขาได้ข้อมูลมาไม่ผิดเพี้ยนไปแล้วล่ะก็…
คืนก่อนปีใหม่นี้จะต้องเกิดการนองเลือด
“นี่คืองานชิ้นโปรดของข้าเลย” Xander หยุดมองปฏิมากรรมไม้สลักรูปนางฟ้าแสนสวย
“ทุกคราที่ข้ามองไปที่มัน… ข้าจะนึกถึงแม่ของข้าอยู่เสมอๆ”
“มันสวยงามมากเลยครับ” Anhelo พูดแบบแซวๆ
Xander เองก็รับรู้ได้ถึงทั้งน้ำเสียงเย้าแหย่ และความสับสนที่มือขวาของเขาต้องมาเดินตามเขาไปในพิพิธภัณฑ์
Anhelo มองไปที่นาฬิกาของเขา
“นายท่าน, ถ้าเราจะเข้าร่วมงาน Crescendo ให้ทันตามกำหนดการณ์ พวกเราควรออกเดินทางกันตอนนี้เลยนะครับ”
Xander กลับนิ่งไม่ไหวติง เขายังคงจ้องมองใบหน้าอันสดสวยของงานปฏิมากรรมตรงหน้า, ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า มันจะมีช่วงเวลาที่แสนสงบ และสันติแบบนี้ใน New Capenna… หรือในชีวิตของเขามาก่อน
Xander หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะบ่นพึมพัมกับตัวเอง
“ยิ่งข้าแก่ ก็ยิ่งใจอ่อน”
“อะไรนะครับ?”
“ไม่มีอะไร” Xander วางมือทั้งสองไว้บนไม้เท้าของเขา กรงเล็บทองคำที่เขาเลือกใช้เป็นเครื่องประดับเคาะเข้ากับหัวไม้เท้าโลหะ
“เจ้าไปที่งาน Crescendo และดูแล Elspeth แทนข้าที”
ข่าวล่าสุดของเธอที่ Xander ได้ยินมาก็คือ เธอสามารถเข้าไปเป็นคนในของ Cabaretti ได้เรียบร้อยแล้ว, แต่เรื่องของแท่นบูชา (The Font) นั้น ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร
แต่เขาก็ยังเชื่อว่า Elspeth จะทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ… เธอเป็นคนที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ, เธอมีความมุ่งมั่น และเป้าที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เธอพูด… และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ Xander ยินดีจะให้เธอเข้าถึงคลังข้อมูลส่วนตัวของเขา
“ท่านจะไม่ไปงั้นหรือครับ?”
“ปีนี้คงไม่ไป”
“แต่แท่นบูชา-”
“ข้าอยากจะอยู่ที่นี่น่ะ” Xander ตอบกลับ
“Xander, ท่านมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?” Anhelo เอามือของเขามาแตะที่ศอกของ Xander, มันเป็นสัมผัสที่บ่งบอกความเป็นกังวลกับท่าทีของเจ้านายของเขา
“ท่านดูแปลกๆ ไปนะครับ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” Xander จับมือของ Anhelo
“เจ้าจะไปงาน Crescendo ในนามของข้า, และข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำให้พวก Cabaretti เข้าใจผิด เรื่องที่ข้าการไม่ไปปรากฏตัวในงาน”
“ยังไงพวกนั้นก็ต้องไม่พอใจอยู่แล้วล่ะท่าน, ข้าไม่ใช่หัวหน้าของ Maestro”
“แต่ซักวันหนึ่ง, เจ้าจะได้รับตำแหน่งนั้น”
“อะไรนะครับท่าน?”
“ไปก่อนเถอะ, เดี๋ยวเรื่องนี้ไว้เราค่อยมาคุยกันหลังงานปีใหม่” Xander ผู้ที่ไม่เคยวางแผนมาก่อนว่าจะส่งต่อตำแหน่งนี้ให้กับ Anhelo
แม้ทุกๆ คนจะพอเดากันได้ แต่มันก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็ววัน
กระนั้น มันก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียม Anhelo ให้พร้อม… Xander ทำได้เพียงหวังว่าเขาจะพร้อมรับมันไป
“คืนนี้ ข้าอยากให้เจ้ามีความสุขในงาน Crescendo, และรายงานเรื่องแปลกๆ ที่เจ้าสังเกตเห็น… นี่เป็นคำสั่งของข้า”
“ท่านแน่ใจแล้วเหรือครับ?”
Xander หันกลับไปมองรูปสลักอีกครั้ง, สายตาเหลือบมองไปที่มุมห้อง โดยที่ Anhelo ไม่ทันสังเกต พวกมันใกล้เข้ามาแล้ว
“ข้าแน่ใจมากๆ, เจ้าไปได้แล้ว Anhelo, อ่อ… ใช้ประตูห้องเก็บงานล่ะ” ประตูลับที่ไม่มีใครรู้มาก่อน
“ได้เลยครับท่าน” Anhelo โค้งคำนับ ก่อนที่จะเดินออกไป
และเมื่อเขาเดินลับสายตาไป Xander ก็ถอนใจออกมา, เขาปล่อยความไม่สบายใจที่เคยหลบซ่อนเอาไว้
Xander หันกลับไปมองรูปสลักนางฟ้าอีกครั้ง, เขาจะได้พบกับแม่ของเขาอีกครั้งไหมหนอ?...
การจากลาอันยาวนาน การจากลาของโลกคนตาย และโลกของคนเป็น…
มันจะยังหลงเหลือจิตวิญญาณในร่างของ Vampire-ปีศาจตนนี้อยู่หรือไม่?
มีบางอย่างเคลื่อนไหว ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์
Xander หันกลับไปพบกับเงามืดทะมึนตรงฝั่งตรงข้ามของห้องโถงแห่งนี้, Xander ถามไปที่ร่างนั้น
“ในที่สุด แกก็จะมาสังหารข้าแล้วใช่ไหม? เจ้า Adversary”
- ณ เทศกาล Crescendo -
Elspeth ยืนอยู่กลางลานเต้นรำของอาคาร Vantoleone กับถาดเสิร์ฟอาหารในมือ
และ Jinnie ก็เป็นคนรักษาคำพูดจริงๆ, หลังจากจบงานง่ายๆ ไม่กี่งาน -คล้ายๆ กับตอนที่ Xander สั่งให้ Elspeth ทำ- Jinnie ก็ให้โอกาส Elspeth มาช่วยงาน Crescendo ทันที
และเนื่องด้วยหน้าที่ของทีมจัดเสิร์ฟ มันก็เป็นโอกาสที่ดี เพราะเธอจะอยู่ในตำแหน่งที่ได้ยินเรื่องราวมากมาย, รวมถึงสามารถเดินไปไหนมาไหนโดยไม่มีใครใส่ใจเธอ, ไม่ต่างจากพวกเด็กเสิร์ฟคนอื่นๆ ที่ไม่มีความสำคัญอะไรมากไปกว่าของตกแต่ง หรือช่อดอกไม้ที่จะช่วยให้งานมันสวยงามขึ้นก็เท่านั้น
แต่เธอก็ไม่ได้เป็นดั่งมนุษย์ล่องหนเสียทีเดียว
“Elspeth” Jinnie เดินข้ามาหาเธอ ตามมาด้วยเพื่อนๆ ชุดเก่าอย่าง Kitt และ Giada
“ฉันโชคดีจังเลยที่ได้เธอมาช่วย, งาน Crescendo คุ้มค่าที่ฝ่าฟันมามั้ยล่ะ?”
“เกินคุ้มอีกค่ะ” Elspeth ตอบด้วยรอยยิ้มหลอกๆ
“ความสนุกที่แท้จริงยังไม่เริ่มหรอกนะ, รอดูได้เลย” Jinnie พูดพลางหยิบเอาขนมอบไส้ชีสบนถาดของ Elspeth, และส่งให้ Giada แต่ก็เช่นเดิม เธอยังคงไม่พูดอะไร, ดวงตาของเธอมันบอกว่าเธอต้องการอะไรมากกว่าอาหาร
“ฉันได้ดูการแสดงของคุณ Kitt แล้วด้วยนะ” Elspeth พูดขึ้น
“แล้ว? เป็นไงบ้าง? บอกมาให้หมดเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ!” Kitt ดูร่าเริงขึ้นมาทันที
“มันน่ารักดีนะคะ”
“นั่นไม่ใช่คำวิจารย์ซะหน่อย” Kitt คำรามอยู่ในคอ
“ฉันเกรงว่า ฉันไม่ได้เชี่ยวชาญด้านงานดนตรีมากพอจะอธิบายคุณได้มากกว่านั้นน่ะ” Elspeth ตอบแบบให้กำลังและส่งยิ้มไปให้
“พูดถึงการแสดงแล้วล่ะก็, ฉันต้องไปตรวจสอบอะไรเพิ่มซักหน่อย” Jinnie พูด และมองไปที่ Giada กับ Kitt
“ฉันต้องขอให้เธอช่วยหน่อย”
“ถ้าคุณ Jinnie ขอมา, ฉันจัดให้” Elspeth ตอบ
“ช่วยดู Giada ให้ครู่หนึ่งได้ไหม?” Jinnie บอกความต้องการของเธอ
Giada ไม่ใช่เด็กอายุน้อยที่ต้องการพี่เลี้ยงคอยเป็นหูเป็นตาตลอดเวลา, แต่มันก็เป็นเรื่องปกติที่ Elspeth สังเกตเห็นในช่วงที่ผ่านมาอยู่ตลอด, การดูแลของ Jinnie ที่ดูแล้วก็แสนจะอบอุ่น, เธอดูเป็นห่วงเป็นใย และเฝ้าพะเน้าพะนอราวกับพี่สาวที่แสนดี แต่ในขณะเดียวกัน มันกลับดูเหมือน Giada เองรู้สึกอึดอัดเสียมากกว่า
“ไม่เป็นปัญหาเลยค่ะ” Elspeth พูด
“ขอบใจมาก เธอนี่น่ารักจริงๆ” Jinnie โอบไหล่ของ Elspeth ก่อนที่จะเดินออกไปกับ Kitt
“เอาขนมอีกไหม?” Elspeth ยื่นถาดให้ Giada
“ไม่ค่ะ, ขอบคุณ” อืม… เธอก็พูดได้นี่ “หนูกลัวว่า ถ้าหนูกินอะไรในงานนี่เข้าไปอีก หนูจะไม่สบายเอา”
“รู้สึกไม่ค่อยสบายเหรอจ๊ะ?” Elspeth เอาถาดออกไปจากหน้าเธอ
“เป็นกังวลมากกว่า” Giada ยอมรับมาตรงๆ “การแสดงนี้มันสำคัญมากกับ Jinnie… กับ Cabaretti… กับทุกๆ คน”
“เป็นการแสดงแบบไหนกันล่ะเนี่ยะ?” Elspeth ถามด้วยน้ำเสียงแบบสบายๆ หวังให้มันเป็นเพียงคำถามที่ดูไร้พิษภัย
Giada หลบตาไป “เดี๋ยวพี่ก็จะเห็นเอง”
“ขอโทษทีน้า!” Jinnie เข้ามาคว้ามือของ Giada ไป
“เธอพร้อมจะเปลี่ยนโลกนี้หรือยัง?” Giada ไม่มีโอกาสจะได้ตอบอะไร, เพราะ Jinnie ก็ถูลู่ถูกังเธอออกไปเสียก่อน
Elspeth รู้สึกแปลกๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันมีอะไรไม่ถูกที่ถูกทางอยู่ และเธอก็สังเกตุเห็นคนของ Maestro ออกเดินตามทั้งคู่ไป… และเมื่อเธอเห็นดวงตาของพวกมัน, เธอก็รู้แล้วว่า พวกมันมาเพื่อล่า
Elspeth เร่งรุดเดินกลับไปที่ห้องเตรียมของ เธอวางถาดเสิร์ฟอาหารลง, แม้พนักงานคนอื่นๆ จะมองมาด้วยสายตางงๆ แต่ Elspeth ก็ไม่ได้สนใจอีกแล้ว เธอเร่งกลับออกไปยังห้องเต้นรำของ Vantoleone
ในตอนนี้ Giada อยู่บนเวทีแล้ว, Jinnie ยืนอยู่ด้านหลัง
ที่หน้าสุดของเวทีนั้น พนักงานของ Cabaretti 4 คน ช่วยกันอุ้มโหลแก้วอันว่างเปล่าขนาดใหญ่, มันมีขนาดเกือบๆ จะเท่ากับ Giada ด้วยซ้ำไป
“ในปีนี้ พวกเรา Cabaretti เคยให้สัญญาถึงเทศกาล Crescendo ที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคย, และเรากำลังจะทำให้สัญญานั้นเป็นจริง” Jinnie ประกาศออกมา
Elspeth เอามือจับมีดที่ Xander มอบไว้ให้เธอ
มันเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวที่เธอมี
มันเป็นอาวุธอย่างเดียวที่ซ่อนไว้ใต้ชุดเครื่องแบบของเธอได้
และมันก็เป็นอาวุธที่เธอหวังว่าจะไม่ต้องเอามันออกมา
Jinnie พูดอะไรบางอย่างกับ Giada ก่อนที่เธอจะเดินมาที่หน้าเวที
Giada สูดหายใจเข้าเต็มปอด แววตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และเธอก็เอามือทั้งสองไปแตะที่ขวดโหลดยักษ์นั่น
แสงสว่างสาดส่องไปทั่วบริเวณ
ทั้งห้องเต้นรำนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง, Elspeth เองก็เช่นกัน
ภาพที่ทุกๆ คนมองเห็นเหลือเพียงหมอกอันพร่ามัวสีฟ้าๆ จากแสงที่สาดส่องเมื่อครู่
ในขณะที่ภาพของเวทีค่อยๆ กลับมาชัดเจนอีกครั้ง เสียงอื้ออึงจากกลุ่มแขกผู้ร่วมงานก็ดังขึ้นมา… ทุกคนต่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
ขวดโหลที่ว่างเปล่ากลับถูกเติมเต็มด้วย Halo, ฟองอากาศสีทองลอยอยู่ด้านบน สสารหมุนกลับไปเป็นสีม่วงมืดๆ ที่ก้นโหล, พลังที่อัดแน่นอยู่ภายในอย่างเอ่อล้นเสียราวกับมันจะไม่สามารถบรรจุไว้ได้ในขวดแก้วนั้นได้
และนั่น ก็คือสาเหตุที่ Elspeth รู้สึกแปลกๆ มาโดยตลอด… ความจริงที่โหดร้ายได้ปรากฏต่อหน้าเธอ… มันไม่มีทางที่ขวดโหลนั้นจะถูกสลับในช่วงเวลาสั้นๆ
“สิ่งที่พวกคุณเห็นไม่ใช่ภาพลวงตา” Jinnie พูดตอบเสียงนินทาอื้ออึงของผู้ร่วมงานหลังจากที่เธอประคองให้ Giada ยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว
แต่ Giada เองก็ยังคงโงนเงนไปมา ใบหน้าของเธอกลับแสดงความเหนื่อยอ่อน
“ทุกอย่างที่คุณเห็นนั้น ไม่ใช่การเล่นกลอะไรทั้งนั้น, เราสามารถสรรสร้าง Halo จากความว่างเปล่าได้!
พวกคุณเป็นกลุ่มคนแรกๆ ที่จะได้พบกับความเปลี่ยนแปลง- ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ต้องยึดติดกับข้อจำกัด และทรัพยากรอันแสนจำกัดจำเขี่ยอีกต่อไป”
Jinnie เงียบไปพักหนึ่ง ปล่อยให้ผู้คนในงานได้กู่ร้องแสดงความยินดี ก่อนที่ Jinnie จะผายมือไปทาง Giada
“เชิญทุกท่าน พบกับ The Font!”
เสียงตะโกนด้วยความปิติยินดีดังกึกก้องไปทั่ว
พวกเขาได้เห็นแหล่งพลังงาน, เครื่องมือ และวิถีทางในการแก้ปัญหาที่ตามรังหวานพวกเขามาตลอดชีวิต
แต่สิ่งที่ Eslpeth เห็นก็คือเด็กวัยรุ่นที่เหนื่อยอ่อน และถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในคุกของความหรูหรา
‘ยุคใหม่’ ของพวกเขา คงต้องแลกมาด้วยชีวิตของ Giada
- ณ พิพิธภัณฑ์ Maestro-
เงาทมิฬถูกแสงสาดขับไล่ เมื่อร่างนั้นเดินเข้าหา Xander, เงาที่ค่อยๆ หายไป ปรากฏซึ่งเส้นสายของชุดสูท และแสงช่วยขับสะท้อนชุดเกราะที่หัวไหล่กับหน้าอกของเจ้าของ
ร่างนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับคนที่ Xander เคยคิดว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน, แต่บัดนี้ เจ้าพวกนั้นกลับห้อมล้อมปีกค้างคาวปีศาจของ Adversary พร้อมด้วยอาวุธในมือ
สิ่งแรกที่ Xander มอบให้พวกคนทรยศคือรอยยิ้มที่แสนขมขื่น… สิ่งถัดมาที่เขาจะให้ก็คือหัวใจสดๆ ของพวกมันเอง
เจ้าหน้าที่ Maestro ที่จงรักภักดีกับตระกูลก็กลายเป็นเพียงอดีต ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะถูกฆ่าตัดตอนไปก่อนหน้า
ความเจ็บปวดนั้นเหมือนกับแผลเก่าที่ยังจารึกอยู่ในแกนกระดูกของ Xander, และยิ่งมันเจ็บ มันก็ยิ่งต้องเอาคืนให้สาสม… แม้มันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาทำได้ แต่เขาก็เตรียมตัวมาเพื่อการนี้… เขาจะไม่ยอมจากไปโดยไม่ลุกขึ้นแข็งขืน
และแล้ว อดีตนักฆ่าของ Maestro คนหนึ่งก็พุ่งเข้าโจมตี
Xander ทิ้งน้ำหนักลงไปยังขาข้างที่ปกติของเขา โยนไม้เท้าจากมือหนึ่ง ไปยังมืออีกข้าง เสียงของโลหะปะทะกันจนก้องกังวาล และทำเอานักฆ่าคนนั้นส่งสายตาตกตะลึงกลับมา
“ข้าเป็นคนเอามีดนั่นให้เจ้า” Xander คำราม
“ไม่คิดหน่อยรึไง? ว่าข้าจะรู้วิธีรับมือกับมันน่ะ!”
เพียง Xander บิดข้อมือของเขา มีดสังหารก็หลุดออกจากมือของนักฆ่า พร้อมๆ กับหัวไม้เท้าที่กระแทกเข้าหลอดลมจนมันแตกดังลั่น
ลิ่วล้อของ Adversary อีกคนพุ่งเข้ามา
Xander สไลด์ไม้เท้าของเขา ดีดนิ้วโป้งเมื่อมันสัมผัสกับตัวล็อกที่อยู่ตรงหัวไม้เท้า และเผยให้เห็นใบมีดคมกริบที่ซ่อนอยู่ในไม้เท้าที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงปลอกเก็บดาบ
เพียงการตวัดครั้งเดียว ร่างของ Vampire ตัวนั้นก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านที่ส่งข้ามห้องไป
ความตายกลายเป็นเครื่องมือในการเบี่ยงเบนความสนใจ, Xander ถอยร่นลึกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ของเขา, แม้ว่าเหล่าลูกสมุนของ Adversary จะไล่ล่าเขา แต่ไม่มีใครจะเข้าใจเส้นทางของสถานที่แห่งนี้ดีไปกว่าตัว Xander เอง… เพราะเขาคือผู้ที่สร้างมันขึ้นมากับมือ
เป็นดั่งบิดาของมัน… เป็นดั่งผู้พิทักษ์…
ด้วยทางเดินแคบๆ ที่ส่งไปยังห้องแสดงงาน
มันช่วยไม่ให้ Xander ถูกตลบหลังจากบรรดาศัตรูมากมาย, และก็บีบให้พวกมันต้องเข้ามาเป็นเหยื่อทีละคน... ทีละคน
กระนั้น แม้ Xander จะมีทักษะที่เหนือกว่าพวกนั้นมาก, แต่สังขารของเขาก็เป็นสิ่งที่ฉุดรั้งเขาเอาไว้…
ในวันนี้ เขาเป็นเพียงคนแก่ๆ คนหนึ่งที่อาจจะทนกับความเจ็บปวดได้เหนือคณา แต่คงไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะจัดการพวกมันทั้งหมด
Xander ผ่านห้องโถงของห้องแสดงผลงาน, เสียงศรเวทย์มนต์พุ่งเฉียดผ่าน ทิ้งไว้เพียงร่องรอยไหม้ที่พื้นหินอ่อน, หินอ่อนที่ไม่มีค่าอะไรในตอนนี้อีกแล้ว…
ทุกๆ สิ่งที่ Xander เคยมี จะไม่เหมือนเดิมหลังจากจบคืนนี้ไป
เขาผ่านไปถึงบันไดวน, ท่ามกลางความเหนื่อยล้าของร่างกาย เขากัดฟันทน และเร่งฝีเท้าเท่าที่สังขารของเขาจะพามันไปไหว
แม้เหล่านักฆ่าจะพยายามเข้าห้อมล้อม แต่ด้วยความชำนาญของ Xander เขาก็นำหน้าพวกมันอยู่ก้าวหนึ่งเสมอๆ
Xander พุ่งทะลุตัวผ่านประตูไป สายลมของ Park Heights ปะทะเข้ากับใบหน้าของเขา, เขาหันหลังกลับมาเพื่อปิดตายประตูเบื้องหลัง, ประตูของห้องชมวิว
ที่ระเบียงชมวิวนี้ ไม่มีที่ทางมากมายนัก, มันเป็นแค่พื้นที่เล็กๆ สำหรับสวนจำลอง ที่สรรค์สร้างเพื่อรับงานศิลป์และทิวทัศน์เส้นขอบฟ้าของ Park Heights เท่านั้นเอง
Xander เดินตรงไปที่ขอบระเบียงเพื่อพักหายใจ
ภาพที่เห็นนี่มันช่างงามจับใจเสียเหลือเกิน
เสียงปีกค้างคาวปีศาจกระพือดังมาจากด้านหลัง, Adversary ลงกระแทกพื้นจนสั่นสะเทือน
“แกคิดว่าจะหนีข้าพ้นรึไง?” เสียงของ Ob Nixilis สั่นพ้องด้วยความโมโห
“หนีมาที่ระเบียงเนี่ยะนะ!” มันหัวเราะอย่างสุดเสียง พร้อมกับสยายปีกเพิ่มความน่าเกรงขาม
“ไม่เลย” Xander หันกลับมาประจันหน้า
“ข้าแค่คิดว่า ถ้าเจ้าไม่มีพวกลิ่วล้อที่จ้างมา เราคงจะได้สู้กันแบบเท่าเทียมซักหน่อย”
“ข้าไม่เน้นความเท่าเทียม”
Xander เองก็เช่นกัน, เขาพุ่งตัวเข้าโจมตีโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว
ทว่าดาบคู่ใจของเขาก็ถูกปัดป้องได้อย่างง่ายดายเพียงมือเปล่าๆ ของ Adversary
มันแสยะยิ้มออกมา, Xander ถอยและย่อตัวหมายเข้าโจมตีอีกครั้ง เป้าหมายในครานี้คือใต้คาง…
มันน่าจะเป็นเพียงตำแหน่งเดียวที่สามารถโจมตีได้โดยไม่ต้องปะทะกับเกราะเหล็กที่ป้องกันเอาไว้แทบทั้งตัว
ทว่า ความไวของเขาก็ไม่มากพอ, บางทีมันอาจจะเป็นผลมาจาก Halo, บางทีมันอาจจะเป็นปีศาจที่เหนือกว่า Xander จะจินตนาการ
Xander ไม่ทันเห็นว่า Adversary เล็งมืออีกข้างมาที่เขา
เสียงกึกก้องของเวทย์สังหารดังกังวาลไปทั่ว Park Heights, แต่สิ่งสุดท้ายที่ Xander ได้ยินคือเสียงดาบคู่ใจของเขากระทบกับพื้น,
อุปกรณ์ที่ช่วยสร้างชื่อ หลุดลอยออกไปจากปลายนิ้วของเขา เท้าของเขาถอยเหยียบไปบนความว่างเปล่า และร่างของเขาก็ร่วงทะลุก้อนเมฆเบื้องล่าง
- ณ งาน Crescendo -
เสียงกู่ร้องด้วยความยินดี กลายเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความแตกตื่น, เมื่อแขกบางส่วนได้ชักเอาอาวุธคู่กายออกมา
ในตอนนี้ ไม่มีตระกูลใดจะรอดพ้นจากการบุกโจมตีของ Adversary
Elspeth ดึงเอามีดสั้นที่ Xander มอบให้เธออกมา และพยายามฝ่าฝูงชนไปยังเวทีเบื้องหน้า, พวก Cabaretti บนเวทีผลักให้ขวดยักษ์นั้นเทเอา Halo ออกมาเจิ่งพื้น, ฟองอากาศลอยขึ้นมาก่อนที่จะแตกตัวไปเป็นรูปดวงดาวและวงแหวนอย่างสวยงาม
“พ่อ!” Jinnie ตะโกนข้ามฝูงชน, Giada ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ถุงมือแสนสวยของเธอปิดปากซ่อนใบหน้าที่ตกตะลึง
“คุณพ่อ!” สายตาของ Jinnie มองไปที่กลางห้อง, Elspeth มองตามไป เธอก็พบกับมนุษย์สิงห์เจ้าแห่งครอบครัว Cabaretti กำลังถูกรุมล้อมจากศัตรูมากมาย
Jinnie พุ่งเข้าไปหาพ่อทูนหัวของเธอ ทิ้ง Giada ไว้เบื้องหลัง
และจุดนี้ที่ทำให้ Elspeth พุ่งพล่านไปด้วยความโมโหและตกใจ, เธอจ้วงโจมตีคนที่น่าจะเข้ามาเพื่อโจมตีจนเขาล้มลงไป
Giada คือ The Font, คือสิ่งที่แสนมีค่าสำหรับ Cabaretti, เธอยอมทั้งชีวิตของเธอเพื่อให้ Cabaretti ได้ครอบครอง Halo เพื่อสิ่งใด?
เพื่อให้ถูกทิ้งไว้กับเจ้าหน้าที่ของ Cabaretti ที่ยังพัลวันอยู่กับผู้บุกรุกอีก 7 คนบนเวที
ความวุ่นวายขัดขวางเส้นทางของ Elspeth, เธอสะบัดศอก, แทรกตัวผ่านผู้คน, กระโดดข้ามร่างที่นอนอยู่กับพื้น และไปถึงเวทีทันพอดีกับที่เจ้าหน้าที่คนสุดท้ายของ Cabaretti จะทรุดลงกับพื้น
ลิ่วล้อของ Adversary เปลี่ยนเป้าหมายไปหา Giada, ส่วน Elspeth ก็ไม่เปิดโอกาสให้พวกนั้นได้ตัว Giada
เธอกระแทกด้ามมีดเข้าไปที่หลังคอของคนทางขวา, ในขณะที่คนทางซ้ายก็พุ่งเข้ามาหมายจะโจมตี แต่ Elspeth ก็เบี่ยงตัวหลบและบิดข้อมือของเขาจนไม่สามารถใช้งานได้อีก
Elspeth หมุนตัวเข้าประชิดชายคนที่สามและอาศัยแรงเหวี่ยงส่งให้ร่างของเขาลอยไปปะทะกับลิ่วล้ออีกคน
“Giada” Elspeth พูดอย่างใจเย็น ท่ามกลางความวุ่นวายมากมายรอบๆ ตัว, เธอคุกเข่าลง มองตรงเข้าไปในดวงตาสีเข้มของ Giada ที่แตกต่างกับดวงตาสีเข้มๆ ของเธอเอง
“อยากให้ฉันพาเธออกไปจากที่นี่มั้ย?”
Giada สูดหายใจเข้าเต็มปอด, ถอดถอนลมหายใจที่สั่นเครือ
“ค่ะ” เป็นครั้งแรกที่นำเสียงของเธอเติมเต็มไปด้วยความหวัง
“หนูรู้ทางลับ”
Elspeth พยักหน้าและลุกขึ้นยืน มองกลับไปยังพวกลิ่วล้อที่เธอจัดการไปเมื่อครู่, ในตอนนี้พวกมันเริ่มลุกขึ้นมาด้วยความโกรธที่มากกว่าเดิม
“ทางนี้” Giada ดึงมือของ Elspeth ไป, ทั้งคู่วิ่งผ่านผ้าม่านกั้นเวทีสีเขียวพฤกษาลึกเข้าไปด้านหลังเวที
ผ้าม่านหนาๆ ของมันช่วยปกปิดเสียงฝีเท้าของพวกเธอ… และพวกที่ไล่ล่าตามมาเช่นกัน
แต่มันก็ไม่อาจรอดพ้นประสาทสัมผัสของ Elspeth ไปได้
“หมอบลง!” Elspeth ทิ้งน้ำหนักลงไปที่เท้า ดึงเอาร่างของ Giada เข้ามา
ใบมีดตัดผ่านอากาศจากด้านหลัง แต่มันก็ตัดได้แค่ผ้าม่านที่อยู่ข้างทางเท่านั้น, Elspeth ปล่อย Giada ไป และเพียงสังเกตจากร่องรอยตัดที่ผ้าม่าน เธอก็พอประเมินเป้าหมายการโจมตีได้ทันที
และมีดสั้นของเธอก็ฝังเข้าไปที่ท้องของผู้ไล่ล่า เป็นการตอกย้ำว่าเธอวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง
Elspeth ถอยมาส่งสัญญาณให้ Giada
“ไปต่อเลย”
ในเวลานี้ ถ้า Giada เธอหวาดหวั่นอะไรอยู่ เธอก็เก็บงำมันไว้ได้เป็นอย่างดี, Giada คงจะผ่านอะไรที่เลวร้ายกว่านี้มาในช่วงที่ยังต้องทนอยู่กับพวก Cabaretti… ซึ่งมันก็ทำให้ Elspeth รู้สึกระคนไปด้วยความโศกเศร้า
Giada วิ่งผ่านความมืดมิดโดยมี Elspeth ตามไปติดๆ
Giada ยังดูเด็กอยู่เลย, แต่ Elspeth ก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าชีวิตของ Giada ต้องผ่านอะไรมามากมายขนาดไหน? เพราะสำหรับ Elspeth แล้ว, เธอรู้จักคำว่าการคุมขังดี… และมันไม่จำเป็นต้องอยู่หลังลูกกรงหรือมีพัศดีคอยเฝ้าดู
“ทางนี้” Giada กระซิบพลางชี้ไปทางซ้ายที่มีผ้าม่านห้อยตัวลงมา
ทั้งคู่เดินผ่านบรรดากองอุปกรณ์ดนตรีที่วางระเกะระกะ แม้จะมีผู้บุกรุกมาอีกคน - สองคน, แต่ Elspeth ก็จัดการทั้งคู่ไปได้, ถ้ามีเวลามากกว่านี้ เธอคงจะพยายามซ่อนร่องรอย แต่สำหรับตอนนี้ พวกเธอควรจะรีบๆ ออกไปจากที่นี่ และแฝงตัวไปกับฝูงชนที่เมืองอันวุ่นวายข้างนอกนั่น
Giada คำรามออกมาเมื่อเธอพยายามจะเปิดประตูบานเขื่องที่ขวางกั้นอิสรภาพของทั้งคู่, Elspeth ใช้ไหล่ของเธอช่วยดันอีกแรง, แต่ทว่าประตูที่ไม่ได้ใช้งาน และขาดการดูแลก็ส่งเสียงเสียดสีออกมาดังลั่น
เหล่าลิ่วล้อที่ดักรออยู่ปลายตรอกด้านนอกประตูนั่นหันกลับมาที่ต้นเสียง, พวกมันเริ่มส่งสัญญาณเรียกพวกพ้อง, ทำเอา Elspeth สบถโชคชะตาของตัวเอง เพราะถ้าประตูบานนี้มันเปิดออกไปง่ายๆ เธอคงมีโอกาสได้จัดการพวกนั้นก่อนแน่ๆ
“พวกมันตามมาอีกแล้ว” Giada พูดขึ้น เมื่อสายตาของเธอเห็นกลุ่มคนวิ่งมาจากโรงละครของ Cabaretti
“รู้แล้ว, อย่าไปไหนล่ะ” Elspeth กระชับมีดในมือ ที่เธอหวังให้มันเป็นดาบ หรือหอกจะดีกว่า
“มีคนหนีมาสองคน” หนึ่งในคนพวกนั้นพูดขึ้น
“นายท่านกำชับมาว่าอย่าให้ใครรอดออกไปได้ - ขอโทษด้วยนะสาวๆ” ลิ่วล้ออีกคนพูดไปพลาง หักข้อนิ้วไปพลาง
“ต้องเรียกกำลังเสริมมั้ยเนี่ยะ?”
“แค่พวกเราก็เอาไหว”
รอยยิ้มที่พวกลิ่วล้อเหล่านี้ส่งออกมา บ่งบอกว่ามันกำลังประเมิน Elspeth ต่ำเกินไป, เธอพูดสวนกลับไป
“ก็ลองดู”
ทว่าก่อนที่ใครจะได้ทำอะไร แสงสว่างวาบสีเขียวก็พุ่งแหวกอากาศจากด้านหลัง
แสงสีเขียวระเบิดออกกลายร่างไปเป็นหมาป่าสีเขียว และกระโจนใส่ลิ่วล้อคนหนึ่ง, แม้ว่าเขาจะพยายามดิ้นรน แต่เขี้ยวของหมาป่าก็ฝังเข้าร่างของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
“อะไรว-!”
ลิ่วล้ออีกคนไม่ทันจะจบกระโยค ลูกศรอีกสองดอกก็พุ่งออกมา และกลายเป็นหมาป่าอีกสองตัว
หมาป่าสีเขียวสองตัวจัดการลิ่วล้อทั้งสองอย่างรวดเร็ว, คมเขี้ยวของมันอันตรายกว่ามีดสั้นที่ Elspeth มีเป็นไหนๆ, Giada หลบอยู่ด้านหลัง Elspeth โผล่หน้าของเธอออกมาครึ่งหนึ่ง ในขณะที่หมาป่าทั้งสองเดินเข้ามาหาทั้งคู่
ก่อนที่ร่างของพวกมันจะกลายไปเป็นเพียงหมอกสีเขียว และ Vivien ก็ปรากฏตัวออกมา
“ฉันบอกแล้ว ว่าเราจะได้เจอกันอีก”
“Vivien” Elspeth โล่งใจอย่างเห็นได้ชัด, เธอหันกลับไปหา Giada
“Vivien เป็นพวกของเรา, เธอไว้ใจได้” อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ Elspeth หวังไว้
และประโยคนั้นก็ทำให้ Vivien แสดงอาการประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธสิ่งที่ Elspeth พูด
“ฉันมีข่าวมาแจ้ง, เรื่องที่เราเคยคุยกันไว้ในครั้งก่อน, แต่ตอนนี้ไปหาที่ปลอดภัยกันก่อนเถอะ”
ทั้งสามเดินออกไปถึงกลางตรอก ก่อนที่ประตูบานเขื่องจะระเบิดออก
บานพับที่กระเด็นออกไป กับบานประตูเหล็กที่ไถลไปกับพื้นส่งเสียงดังไปทั่ว จนมันหยุดลง
Jinnie, Jetmir และกลุ่มของชาว Cabaretti เดินออกมาจากกลุ่มควันของแรงระเบิดเมื่อครู่
“โอ้ย ค่อยยังชั่ว, Elspeth” Jinnie พูดอย่างโล่งใจ
“ขอบคุณที่ช่วยดู Giada นะ”
Elspeth มองกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยสายตาที่เป็นกังวล, เธอยังก้าวถอยไปด้านหลัง ในขณะที่ Giada ก็ขยับตามเธอไป
และเมื่อทั้งคู่สบตากัน สายตาของ Giada ก็ฟ้องว่าเธอไม่สบายใจเช่นกัน
ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าหา Elspeth เหมือนเมื่อตอนที่เธอเห็น Giada อยู่บนเวที
“มาสิ, พวกเราจะพาไปทางลับของโรงละคร, พา Giada มากับเรา”
ไม่ คำนี้ดังขึ้นมาใต้จิตสำนึกของ Elspeth… มันไม่มีเหตุ และผลอะไรเลย ที่เธอจะส่งให้ Giada กลับไปหาคนที่เคยกักขังเธอเอาไว้
แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอเลือกได้
Elspeth หันกลับไปมอง Giada, พยายามจะสื่อสารกับเธอด้วยสายตา
ฉันจะทำตามที่เธอต้องการ
เธอไม่สามารถพูดมันออกมาตรงๆ ได้, เพราะมันคงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดถ้าหากจะเป็นปฏิปักษ์กับ Cabaretti โดยไม่ได้ถาม Giada เสียก่อน
เธอว่ายังไง?
Giada จับมือของ Elspeth และบีบเบาๆ, เป็นดั่งการส่งสัญญาให้พาเธอออกไปจากที่นี่ที
“พวกเราจะหลบไปที่ปลอดภัยกันก่อน, ถ้าทุกอย่างสงบลงแล้วเราจะกลับมา” Elspeth พูดขึ้น
“ก็’พวกเรา’นี่ไง ที่ปลอดภัย” ท่าทีที่เคยร่าเริงของ Jinnie ค่อยๆ หายไป
มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่ขึ้นมาเป็นมือขวา และบุตรีบุญธรรมของคนอย่างพ่อปู่ Jetmir แห่ง Cabaretti ที่มือของเธออาจจะเปื้อนเลือกมามากกว่าภาพที่เห็น
“ฉันว่า พวกเราควรจะแยกกันไปก่อน”
“ส่ง Giada มาให้ฉัน” Jinnie เดินตรงเข้ามา
Elspeth กระชับมีดในมือ, เธอไม่อยากจะปะทะกับ Jinnie หรอก เพราะ Jinnie ก็ดูแลเธอเป็นอย่างดีตลอดเวลาที่อยู่ที่ Cabaretti, แต่ Jinnie คนนี้ก็เป็นคนคนเดียวกับที่จะใช้ Giada เป็นเครื่องมือ…
เธอจะสู้ หรือเธอควรจะหนี Elspeth ยังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไร ลูกศรสีเขียวก็พุ่งโค้งผ่านหัวของเธอไป
มันระเบิดออกกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ตัวใหญ่ยิ่งกว่าหมาป่าตัวเก่า, กรงเล็บสีเขียวแหวกอากาศ, เกล็ดของมังกรไหลเลื้อยในตรอกแคบๆ, ปีกทั้งสองสยายจนปิดท้องฟ้าในยามค่ำคืน
Elspeth เห็นเพียงแผ่นหลังของมังกรวิญญาณ และแม้ต่อให้มันเป็นเพียงภาพลวง แต่มันก็ยากที่ Jinnie จะฝืนเดินเข้ามา
Elspeth มองกลับไปที่ Vivien ซึ่งกำลังลดธนูของเธอลง, ลูกธนูในซองของเธอส่งควันสีเขียวออกมาจับกับผมที่ถักไว้ของเธอ
“ไปกันรึยัง?” Vivien ส่งยิ้มกลับมา
และทั้งสามก็วิ่งออกไปจากตรอกในคืนนั้น
- ณ พิพิธภัณฑ์ -
“ไม่ค่อยเก๋าแล้วสินะ?” Ob Nixilis ปัดขี้เถ้าออกจากมือของมัน
ผู้นำตระกูล Maestro ชื่อกระฉ่อน Xander เทพเจ้าแห่งการลอบสังหาร ที่ตอนนี้ไม่เหลือความเทพอะไรอีกแล้ว, Ob Nixilis ถุยน้ำลายลงไปที่ร่างไร้วิญญาณที่เท้าของมัน
ร่างของ Vampire ที่แทบจะจำไม่ได้หลังจากร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า, หลังจากที่เขาต้องกลายมาเป็นเครื่องระบายอารมณ์ของเจ้าปีศาจอีกต่อ
“นายท่าน”
ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาจากอาคารด้านหลัง, ก่อนที่จะชะงักเมื่อได้เห็นเศษซากเบื้องหน้า…
เขาเคยเป็นคนของ Maestro และนั่นก็ทำให้ Ob Nixilis อยากจะอ่านใจหนุ่มน้อยคนนี้เหลือเกิน ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร ที่เห็นอดีตนักฆ่าที่เขาเคยเคารพต้องอยู่ในสภาพนี้
“อะไร?” Ob Nixilis สวน
“ผ… ผม” ชายคนนั้นกลืนน้ำลายอึกใหญ่ และละสายตาจากซากของ Xander
“ผมมีข่าวจาก Crescendo มาแจ้ง”
แค่ดูท่าทีเลิ่กลั่กของลิ่วล้อคนนี้ Ob Nixilis ก็รู้ได้เลยว่าเขาย่อมไม่ได้นำข่าวดีมา
แต่ท่าทีที่ชวนอึดอัดของเจ้าหนุ่มคนนี้ มันก็ช่วยบรรเทาความน่าหงุดหงิดของข่าวร้ายที่จะตามมาได้อยู่นิดหน่อย
“ดี, บอกข้ามาที ว่าเราได้รับชัย”
“ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านสั่งเลยครับ, พวกเราเข้าควบคุม Vantoleone ได้ตามแผน”
“แล้ว?” Ob Nixilis ถามกระตุ้นให้เจ้าหนุ่มนั่นพูดต่อ ด้วยการปล่อยให้ความเงียบเข้าเสริมความน่าเกรงขาม
“ต… แต่” ชายหนุ่มคนนั้นพยายามจะฝืนพูดสู้กับสายตาของ Ob Nixilis ที่จ้องเขม็งมา
“The Font หนีไปได้ครับ”
Ob Nixilis คว้าคอของชายคนนั้น, ร่างของเขาลอยไม่ติดพื้นราวกับตุ๊กตายัดนุ่น เท้าของเขาเตะไปมา มือไขว่คว้าพยายามจะแกะมือของ Ob Nixilis ออก
“ถ้า The Font หนีไปได้ แล้วมันจะ ’เป็นไปตามแผน’ ได้ยังไงวะ?”
“เ - เรา - ไม่ - มันมี - เรื่อง - ไม่คาดคิด” เสียงของชายคนนั้นกลายเป็นเพียงอากาศที่เล็ดลอดออกมาจากหลอดลมที่ถูกบีบอยู่
Ob Nixilis กลับบีบมือของมันแน่นขึ้น… มันจินตนาการไปว่าถ้าออกแรงมากกว่านี้ หัวของร่างในมือคงจะหลุดกระเด็นออกเหมือนจุกก็อกขวดไวน์…
ก่อนที่มันจะปล่อยมือ… เพราะมันยังต้องการพวกมือสมัครเล่นแบบนี้เอาไว้ใช้งานที่ไม่อยากจะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง
ชายหนุ่มร่วงลงกองกับพื้น และเอามือมาคว้าคอที่เต็มไปด้วยรอยช้ำของเขาเอง ราวกับจะช่วยให้อากาศมันกลับเข้าไปได้เร็วขึ้น
Ob Nixilis หันกลับไปมองซากของ Xander… สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พึงพอใจ… ไม่ มันไม่ใช่เศษซากของความเละเทะที่มันทำทิ้งไว้… แต่มันขยะแขยงตัวเอง, มันไม่รู้ว่ามันก้าวพลาดที่ตรงไหน… มันรู้แค่ว่า แม้ตอนที่ Xander ตายไปแล้ว เขายังก้าวนำมันไปอยู่ก้าวหนึ่ง
“ช่างมัน” Ob Nixilis คำรามในลำคอ
“ข้าจะตามหามันเอง… ต่อให้ต้องเผาเมืองให้ราบเป็นหน้ากลองก็เถอะ”
“นายท่าน พวก Cabaretti ถูกจัดการแล-” ลิ่วล้ออีก 4 คนวิ่งออกมาจากพิพิธภัณฑ์, ก่อนที่จะหยุดเมื่อเห็นร่างของชายที่ยังหายใจไม่ทั่วท้องนอนอยู่ตรงพื้น
“ท่านคงทราบแล้ว”
“เออ, ข้ารู้เรื่องที่พวกแก ‘ล้มเหลว’ แล้ว” Ob Nixilis พูดผ่านซี่ฟันที่ขบกันจนกรามปูดโปน
“พวก Maestro ก็เอาอยู่แล้ว, แล้วพวกที่เหลือเป็นไง?”
“Jetmir หลบหนีไปได้ แต่ก็บาดเจ็บสาหัส, พวก Cabaretti มีปัญหาแน่นอนถ้าเขาไม่อยู่” หนึ่งในลิ่วล้อรายงาน
“พวก Broker กับ Obscura ก็มุดเข้ารู แต่พวกเราตามล่าพวกมันอยู่ครับ, ส่วนพวก Riveteer ก็ใกล้จะจบเห่แล้ว, ด้านล่างที่ Caldaia ปะทะกันอย่างวุ่นวายเลยครับ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่เราวางแผนไว้”
Ob Nixilis หักนิ้วกรอบแกรบ และหมุนคอไปมา
“ข้าต้องการตัวหัวหน้าของทุกตระกูลเอามาให้ครบ ไม่ว่าหัวมันจะยังติดอยู่กับตัวหรือไม่ก็ตาม”
“แล้ว The Font ล่ะครับ?” หนึ่งในลิ่วล้อที่ดูจะยศสูงกว่าพูดออกมา
“แกสองคน - ไปตามล่า Jetmir กับ Jinnie, ถ้าจะมีใครที่พาไปหา The Font ได้ มันก็ต้องเป็นไอ้สองคนนี้แหละ, ส่วนแกอีกสองคน ไปทำทีมตามหา The Font, ถ้าแกพามันมาได้ แกกับครอบครัวของพวกแกจะสบายไปตลอดชีวิต”
- ณ ถนนของ New Capenna -
ทั้งเมืองตกอยู่ในความวุ่นวาย, ทุกตระกูลเข้าร่วมสงครามกลางเมือง
Elspeth, Vivien และ Giada ฝ่าฝูงชนไปตามแนวหลังคาของเมือง Mezzio
“ไม่มีอะไรผิดคาดเลย, ทุกอย่างจะพังทลายอย่างรวดเร็วเมื่อสมดุลเสียไป” Vivien พูดขึ้นเมื่อพวกเขาหยุดพัก
“ว่าแต่พวกเราจะไปที่ไหนกัน” Giada ถามขึ้น
Eslpeth แทบจะทุบหัวของตัวเอง… เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นมาก่อน, ที่ๆ เธอเคยใช้ซ่อนตัวก็ถูกเผาไปแล้ว, ส่วนที่พิพิธภัณฑ์ของ Maestro ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก
“ฉันนึกออกแล้ว” Elspeth นึกถึงภารกิจที่สอง ที่ Xander มอบให้
“มันมีโกดังสินค้าที่ไม่ไกลจากที่นี่ - มันน่าจะเป็นโกดังร้าง และก็ ‘น่าจะ’ ปลอดภัย”
“ทำไมต้องวุ่นวายขนาดนี้” Vivien พูดกระซิบให้ Elspeth ได้ยินคนเดียว
“เรื่องระหว่างตระกูลไม่ใช่ปัญหาหลักหรอก”
“ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องปัญหาระหว่างตระกูลหรอก” Elspeth หันกลับมากระซิบ หวังไม่ให้ Giada ได้ยิน
“ที่ฉันเป็นกังวลคือเด็กสาวที่กำลังตกอยู่ในอันตรายต่างหาก”เด็กสาวที่ควรจะได้อะไรที่ดีกว่านี้
สำหรับ Elspeth แล้ว เธอยินดีจะแลกทุกๆ อย่าง เพื่อให้ใครซักคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอในช่วงปีแรกที่เธอเองเป็นผู้ถูกคุมขัง… แต่มันก็ไม่มีใคร…
และในตอนนี้ กับสาวน้อย Giada ผู้ถูกคุมขังในคุกของความหรูหรา, การช่วยเหลือเธอ เหมือนกับการทำลายวัฏจักรที่ Elspeth มองหามาตลอด
“ถ้าเธอปลอดภัยแล้ว เราก็จะปล่อยเธอไป” Vivein กอดอก “เรามีเรื่องที่ต้องคุยกัน, เรื่องที่เฉพาะพวกเราจะจัดการมันได้”
แม้ Elspeth จะมีคำถามมากมายในหัวที่ตามมา แต่เธอเห็นว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะถามมันออกไป, ไม่ใช่ในช่วงเวลาที่ยังต้องหนีเอาชีวิตรอดกันแบบนี้
“ชัดเจนนะ?” Vivien ถามซ้ำอย่างตรงไปตรงมา
“ชัดเจนดี, ถ้า Giada ปลอดภัย เราค่อยว่ากัน”
“ได้, ถ้างั้นก็พาพวกเราไปที่โกดังนั่น”
“แน่นอน, แต่ก่อนอื่น ฉันขอกลับไปที่ Maestro ก่อน” Elspeth พูดในขณะที่ไต่ลงบันได
“ฉันต้องการอาวุธที่ดีกว่ามีดสั้นอันนี้, พวกเธอรอฉันที่นี่ แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาด ให้เราไปเจอกันที่ม้านั่งที่ Park Heights”
“เข้าใจแล้ว” Vivien ตอบอย่างเข้าใจ
“เดี๋ยวสิ!” Giada จับมือของ Elspeth
“หนูจะตามพี่ไป”
“ฉันว่า ฉันไม่ควรพาเธอไปที่รังของตระกูลอื่นหรอกนะ” Elspeth ตอบ
Giada นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยมือและพูดต่อ
“ก็จริงค่ะ, หนูจะรออยู่ที่นี่กับพี่ Vivien”
Elspeth เดินทางผ่านช่องทางลิฟท์ขึ้นไปยัง Park Heights ตามปกติได้อย่างไม่ยากเย็นนัก, แม้จะมีการซุ่มโจมตีอยู่บ้าง แต่เธอก็จัดการพวกนั้นได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
ทว่า เมื่อเธอมาถึงที่พิพิธภัณฑ์ของ Maestro เธอก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เมื่อที่แห่งนี้ ไร้การป้องกันจากบรรดาทหารยามแฉกเช่นเคย, บันไดทางขึ้นก็เต็มไปด้วยฝุ่นเถ้าจนมันกลายเป็นสีกระดูก…
ชัดเจนแล้วว่า Adversary ไม่ได้วางแผนโจมตีที่งาน Crescendo เพียงที่เดียวในคืนนี้…
แต่ก็ถือเป็นโชคของ Elspeth, การได้ทำงานและข้อแลกเปลี่ยนที่เธอมีกับ Xander ทำให้เธอรู้ช่องทางขนส่งสินค้าและงานศิลปะของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
เธอจึงเลือกใช้ช่องทางขนส่งเพื่อจะเข้าไปภายใน เธอใช้มีดของเธอทำลายตัวล็อก
ซึ่งมันก็แลกกับใบมีดที่บิ่นจนใช้งานไม่ได้… และเธอก็จำต้องหาอาวุธใหม่จริงๆ เสียแล้ว
กลิ่นของความตายอบอวลอยู่ในพิพิธภัณฑ์ตลอดเส้นทางที่ Elspeth ย่องผ่านไป
ความมืดมิดที่ช่วยปกปิดร่องรอยของเธอ กลับช่วยขับให้ผู้จะเป็นอริของเธอสร้างความกดดันมากยิ่งขึ้น
เมื่อทุกๆ เงาที่ผ่านไปมา มันทำให้ Elspeth แทบจะต้องหยุดการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้ถูกพบเข้า
และสุดท้าย เธอก็เข้ามาถึงคลังอาวุธได้สำเร็จ
เอาอะไรดีล่ะ Elspeth มองไปรอบๆ ห้องที่มีทั้งมีดสั้น, แส้, ดาบ แต่เสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามา
“นายคิดว่ายายนี่คือเด็กใหม่จริงๆ เหรอ? ไอ้คนที่ Xander แสนจะโปรดปรานนั่นน่ะนะ?”
Elspeth รู้สึกปั่นป่วนในท้องขึ้นมาทันที, ด้วยวิธีการพูดของเจ้าของประโยคเมื่อครู่ กับสภาพของพิพิธภัณฑ์ เธอก็พอรู้แล้วว่าเกิดอะไรที่นี่
“ข้าว่าใช่”
“นายท่านบอกว่าเธอคือเป้าหมายอันดับแรก, พวก Cabaretti ก็หมายหัวเธอเหมือนกัน, ตอนนี้ไม่เกี่ยวแล้วว่าเธอจะเป็นคนเอา The Font ไปหรือเปล่า, ตอนนี้เธอไม่มีที่ไปแล้ว เธอไม่รอดแน่”
และทั้งคู่ก็รุกคืบเข้าหาเธอ, Elspeth ไม่มีเวลามาเลือกอาวุธ หรือเก็บซ่อนพลังของเธออีกต่อไป, มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเลือกอย่างอื่นนอกจากดาบ
แต่เธอก็ไม่มีเวลาจะเลือกเอาดาบที่เหมาะสมและสมดุลกับตัวเธอ เธอคว้าเอาด้ามดาบขึ้นมาอันหนึ่งจากกล่องเก็บอาวุธ เธอแอบคิดว่านี่จะเป็นอาวุธที่ Xander เคยสัญญาเอาไว้ในการพูดคุยกันครั้งก่อนหรือไม่?
แต่ยิ่งเสียงของทั้งสองคนใกล้เข้ามา เสียงที่เต็มไปตัวความโอหังว่า Elspeth นั้นจะเป็นเพียงเหยื่อง่ายๆ ของพวกมัน
เธอจะทำให้พวกมันรู้ว่าคิดผิด