- ณ ถนนของ New Capenna -
“เป็นไงบ้าง?” Elspeth ถามเพื่อนร่วมคณะของเธอที่ยืนอยู่ตรงขอบหลังคา ที่ๆ Elspeth เคยใช้เป็นจุดซุ่มติดตามเป้าหมาย
มันน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เมื่อนึกย้อนไปถึงภารกิจที่ Xander มอบให้เธอ…
มันผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ก่อน ทว่ากลับให้ความรู้สึกเหมือนเหตุการณ์พึ่งผ่านไปเมื่อวาน แต่ก็ยาวนานเหมือนอยู่กับมันมาเป็นปี
“เป็นจุดที่เงียบสงบจนฉันแปลกใจ” Vivien ยอมรับออกมา
“แล้วเธอล่ะ Giada?”
“หนูคิดการว่าพักที่นี่เป็นความคิดที่ดี” Elspeth ไม่แปลกใจกับคำตอบของสาวน้อยที่เหนื่อยอ่อน
“เธอดูแล Giada นะ เดี๋ยวฉันจะไปสำรวจรอบๆ” Vivien เสนอตัว
“ขอบใจมาก” Elspeth พูดพลางชี้ไปข้างๆ โกดัง
“ในซอยข้างๆ นี่ จะมีพวกมนุษย์แรคคูนอยู่ ระวังหน่อยแล้วกัน”
Vivien กระโจนเข้าสู่ความมืดมิดยามค่ำคืน, มันเป็นท่วงท่าที่ทำให้ Elspeth ประหลาดใจได้ทุกครั้ง
ทั้งๆ ที่ Vivien เองก็เป็น Planeswalker หน้าใหม่ที่ New Capenna, แต่ทุกๆ การเคลื่อนไหวของเธอนั้นเต็มไปด้วยความสง่าและมั่นคง ราวกับมันเธอรู้จักที่นี่เป็นอย่างดี
มันคงเป็นเพราะเธอปรับตัวให้เข้ากับเมืองที่แตกต่างได้รวดเร็วกว่า Elspeth… ทั้งๆ ที่ ที่แห่งนี้ควรจะเป็นเมืองบ้านเกิดของเธอด้วยซ้ำ
“Elspeth” Giada พูดขัดจังหวะห้วงความคิดขึ้น
“ว่าไงจ๊ะ?” แต่ความเงียบที่ Giada ตอบรับ ทำให้ Elspeth ต้องหันกลับไปมองเธอ
สาวน้อยนั่งเหม่อมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืน เธอเท้าคาง กัดริมฝีปากล่างด้วยความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด, มันเป็นความรู้สึกที่ Elspeth เคยรับรู้ด้วยตัวเองมาก่อน เธอจึงเข้าไปจับไหล่ของ Giada เพื่อช่วยปลอบเธอ
“หนูกลัว”
“กลัวอะไรงั้นเหรอ?” แม้ลึกๆ แล้ว Elspeth จะรู้ว่า Giada มีเรื่องมากมายให้หวาดหวั่น, แต่เธอก็อยากจะได้ยินเรื่องที่เป็นปัญหาที่แท้จริงจากปากของสาวน้อยคนนี้
“ถ้า… ถ้าหนูไม่เพียงพอล่ะ?”
“เพียงพอเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” Elspeth ถามต่อ
“ถ้าหนูไม่สามารถช่วย New Capenna ได้ล่ะ? ถ้าพลังที่หนูมีมันไม่มากพอล่ะ? ถ้า… ถ้าพลังของหนูมันหมดไปล่ะ?” Giada ส่ายหน้าไปมา
“หนูไม่รู้ว่าหนูจะเหลือพลังอีกเท่าไหร่? และหนูก็ไม่รู้ด้วยว่าอะไรอะไรมันจะเปลี่ยนไปมั้ย?... เมื- เมืองนี้มันเกินเยียวยาแล้ว”
สิ่งที่ออกมาจากปากของ Giada นั้น ไม่ใช่เป็นเพียงการระบายความอึดอัด แต่มันเหมือนกับเขื่อนที่แตกทะลักออกมา, คำถามเหล่านี้กัดกินเธอจากภายในมานานแล้ว
Elspeth ทำได้เพียงรับฟังข้อความที่แสนเจ็บปวดจากเด็กสาว, ข้อความที่ฉายแสงให้กับเงามืดของความสงสัยที่ Elspeth เคยมีต่อ Giada…
ความสงสัยในภาระที่ Giada ต้องแบกมันเอาไว้ แต่ Elspeth ไม่เคยเข้าใจอย่างถ่องแท้จนถึงทุกวันนี้
ไม่ว่าจะเป็นพวก Cabaretti หรือ Adversary ก็ต่างมองเธอเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับการแก้ปัญหา, พวกนั้นจะใช้เธอจนไม่เหลืออะไรเพียงเพื่อ Halo…
มันจะสูบเลือด, สูบเนื้อ จนแกนกระดูกหรือแม้แต่วิญญาณของเธอก็จะไม่เหลือ
Elspeth อยากจะเจอ Giada ให้เร็วกว่านี้
Giada หันหน้ากลับมาสบตา Elspeth, มองหาคำตอบที่แม้แต่ Elspeth เองก็ไม่รู้ว่าจะมอบให้ได้หรือไม่?
พาลให้เธอเองสงสัยไปว่า นี่คือสิ่งที่ Ajani กำลังรู้สึกตลอดมาหรือไม่? ความรู้สึกที่เธอมองตาเขา แล้วคาดหวังจะให้เขามีคำตอบให้…
คำตอบที่แท้จริงแล้วอยู่ในใจของตัวเธอเอง
หรือนี่จะเป็นกฏแห่งกรรม ที่ Giada มาแทนที่เธอ, และเธอเองก็กลายเป็น Ajani
“ที่เธอว่ามามันก็จริง” Elspeth ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“New Capenna ได้แตกสลายไปแล้ว… Halo มันเป็นแค่สิ่งที่ช่วยประสานบาดแผลที่เกินเยียวยาของเมืองนี้”
ความสงบที่แท้จริง, ความยั่งยืนที่แท้จริง, ต้องมาจากภายใน -ต้องตามหาปีศาจที่สร้างปัญหา และยังคงหลอกหลอนเธอมาตลอดกาล-
“แล้วหนูต้องทำอะไรต่อ? หนูยังอยากจะช่วยเมืองนี้-หนูต้องการเป้าหมาย”
“การเติมเต็ม… เป้าหมาย…” Elspeth พึมพัมออกมา, ห้วงสติย้อนกลับไปราวๆ เดือนก่อนที่เคยสัมผัสกับบทสนทนานี้…
แต่ครานี้ เธอไม่ได้เจ็บปวดหัวใจจากภายในอีกแล้ว…
ร่างของเธอไม่ได้รู้สึกว่างเปล่าเหมือนเช่นเคย
“เป้าหมายต้องมาจากตัวของเธอเอง… ฉันบอกเธอไม่ได้… ไม่มีใครบอกเธอได้เลย”
Giada ขมวดคิ้ว กลับเอามือไปเท้าคางอีกครั้ง, Elspeth ลูบหลังของ Giada
“แต่ที่ฉันบอกได้แน่ๆ นะ Giada, เธอจะมีโอกาสได้พบกับเป้าหมายของเธอ-เป้าหมายเพื่อตัวเธอเอง”
ฉันเองก็เช่นกัน
“และฉันจะช่วยปกป้องให้เธอปลอดภัยตลอดเวลาที่เธอต้องการเพื่อตามหามัน… ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหนก็ตาม”
“สัญญานะ?” Giada หันมาสบตาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ฉันสาบานเลย”
และแล้วบทสนทนาของทั้งคู่ ก็ถูกขัดจังหวะโดยกลับการมาของ Vivien, เธอก้าวลงมาที่แท่นไม้ที่หญิงสาวทั้งคู่นั่งแลกเปลี่ยนบทสนทนากันอย่างแผ่วเบา
“ดูเหมือนจะเป็นโกดังร้างจริงๆ, ไม่เจออะไรแถวๆ นี้เลย”
“เยี่ยมไปเลย” Elspeth ลุกขึ้นยืน
“งั้นคืนนี้ เราจะพักที่นี่กันก่อน”
- ณ โกดังร้าง -
Elspeth ตื่นขึ้นเพราะน้ำหนักที่กดหัวไหล่ของเธอ, แสงจากอาทิตย์รุ่งอรุณสาดส่องมาจากท้องฟ้าเบื้องบน
มันฉาบใบหน้าของ Giada ที่นอนหลับไหลอยู่ข้างๆ เธอ ด้วยสีโทนอุ่นๆ
ทั้งสามเลือกจะนอนพักในห้องทำงานด้านหลังโกดังร้างแห่งนี้, มันมีทางเข้าออกเพียงทางเดียว
รวมถึงกระจกที่ช่วยสะท้อนภาพของโกดังชั้นล่างก็ช่วยให้การอารักษ์ขาเป็นไปได้อย่างง่ายดาย
“เราต้องไปกันแล้ว, ฉันว่าพวกเราไม่ได้อยู่กันตามลำพังแล้ว” Vivien กระซิบ
สายตาของเธอมองไปยังต้นเสียงที่ Elspeth ไม่ได้ยินด้วยซ้ำ ก่อนที่ Vivien จะขยับตัวไปประชิดผนังฝั่งตรงข้าม
“เป็นพวกมนุษย์แรคคูนมากกว่า, ให้เธอพักอีกหน่อยเถอะ” Elspeth พูดถึง Giada ที่ยังหลับอยู่
เธอไม่เคยดูสงบแบบนี้มาก่อน… ทุกๆ ครั้งที่ได้เจอกัน สาวน้อยคนนี้ถูกหลอกหลอนด้วยความกังวลใจที่ Elspeth ไม่เคยเข้าใจจนเมื่อคืนก่อน
ว่าแต่… Giada คือใครกันแน่? ทำไมเธอถึงมาติดอยู่กับ Cabaretti, และทำไมเธอถึงมีพลังที่จะสร้าง Halo?
ทุกคำถามที่ Elspeth มีนั้น เธอก็ได้แต่เก็บมันเอาไว้ในใจ, กับ Giada แล้ว เธอมีคำถามให้กับตัวเองมากเกินพอแล้ว
และ Elspeth ไม่อยากจะเพิ่มเรื่องน่าปวดหัวอะไรให้กับสาวน้อยอีก… สิ่งที่ Elspeth พอจะทำได้คือรักษาสัตย์สัญญาที่เธอให้ไว้…
เธอจะปกป้อง Giada เท่านั้นก็พอแล้ว
“แคร้ง!!!!!”
เสียงโลหะที่ดังขึ้น ทำเอา Giada สะดุ้งตื่นขึ้นมา, Elspeth เอามือไปปิดปากเธอ และโอบเธอเอาไว้
“เงียบๆ เอาไว้” Elspeth กระซิบ, ในขณะที่สายตาของเธอก็มองไปที่กระจกเพื่อสอดส่องความเคลื่อนไหว
Vivien เอื้อมไปหยิบธนูคู่ใจของเธอ แต่ประตูบานเดียวของห้องทำงานก็เปิดกระแทกเข้ามาพร้อมๆ กับเศษกระจกที่ปลิวว่อนไปทั่วห้อง
ปิดฉากความสงบยามเข้าของพวกเธอ
Jinnie ยืนอยู่ที่ทางเข้า-ออก กับเจ้าหน้าที่ของ Cabaretti พร้อมขวานเล่มเขื่องอีก 2 คน, และจากเงาสะท้อนของกระจก Elspeth ก็เห็นว่ายังมีเจ้าหน้าที่อีก 3 คนที่มาพร้อมกับดาบในมือ
และก่อนที่ Vivien จะได้ง้างธนูของเธอ มีดสั้นของ Jinnie ก็พุ่งเข้ามา ทำให้ Vivien ต้องยกแขนขึ้นมาป้องกัน, เป็นจังหวะเดียวกันที่เจ้าหน้าที่ของ Cabaretti พุ่งเข้าประชิด และยึดเอาธนูของ Vivien ไป
“ไม่มีเจ้านี่ ก็หมดประโยชน์แล้วสินะ?”
Vivien แหงนหน้าขึ้นมองด้วยสายตาท้าทาย, เธอค่อยๆ ยิ้มออกมาเสมือนรอยยิ้มที่นักล่าจะส่งให้เหยื่อเป็นครั้งสุดท้าย
“พวกเธอคงไม่คิดว่าจะหนีพวกเราไปได้หรอกนะ?” Jinnie ย่างสามขุมเข้าหา, มีดในมือเธอจ่อไปคอหอยของ Elspeth
Jinnie ตามหาพวกเธอได้ยังไง?
นี่มันโกดังร้าง… และเมืองนี้ก็กว้างเสียจนมีที่ซ่อนตัวมากมาย… มันต้องมีคำอธิบาย… มันต้องมีร่องรอยอะไรบางอย่างที่ทำให้ Jinnie ตามหาพวกเธอได้
“ฉันเคยเชื่อใจพวกแก”
ใบมีดที่เย็นเฉียบนั้นยังอุ่นกว่าสายตาที่ Jinnie จ้องมา… แม้ Elspeth จะยังหายใจอยู่ แต่กับ Jinnie แล้ว, เธอมีค่าเท่ากับตายไปแล้ว
“ฉันก็แค-”
“เลิกตอแหลเถอะ” Jinnie ขัดขึ้น
“แกร่วมมือกับ Adversary รึไง?”
“ไม่มีทาง”
Jinnie ยังคงจ้องตากลับมา… แต่เธอเลือกที่จะยังเชื่อ Elspeth
“ถ้างั้น, เธอจะทำแบบนี้ไปทำไม?”
“ฉันพยายามจะให้ Giada ปลอดภัย”
“โกหก! แกจะเก็บ The Font ไว้กับตัวเองล่ะสิ” ปลายมีดของ Jinnie จิกลึกเข้าไปในเส้นเลือดที่คอของ Elspeth จนเธอไม่สามารถกลืนน้ำลายได้
“เรื่องนี้มันเป็นอำนาจการตัดสินใจของ Jetmir ไม่ใช่หรือไง?” Giada พูดออกมา, สีหน้าของ Jinnie เต็มไปด้วยความสับสนและเจ็บปวด
Elspeth เหลือบไปมอง Giada กับคำถามในใจ… นี่ Giada รู้ตัวหรือเปล่า ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่?
แต่ Giada เอง ก็รู้ตัวเป็นอย่างดีว่าเธอกำลังทำอะไร
“ให้ Jetmir ตัดสินชะตาของทั้งคู่, ท่านรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตระกูล…
แต่หนูก็ดีใจที่ได้เจอพี่ Jinnie นะ, ขอบคุณที่มาช่วยค่ะ”
Jinnie ผ่อนมีดลง
“ฉันก็ดีใจที่ได้เจอเธอ, นึกว่าพวกเราจะเสีย The Font ไปแล้ว”
“หนูอยู่นี่แล้วไง” Giada ฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย
“เอาล่ะ” Jinnie ถอนใจระบายความโมโหออกมา, แต่สายตาที่มอง Elspeth ยังเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“มัดพวกมันไว้, พวกเราจะพาพวกนี้กลับไปหา Jetmir”
“เราจะกลับไปที่ Vantoleone เหรอคะ?” Giada ถาม
“ไม่, ที่นั่นไม่เหลืออะไรอีกแล้ว… เราจะไปหาเพื่อนของเรา” Jinnie ตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
“ไม่มีตระกูลไหนอยากจะเห็น Adversary ครอบครอง New Capenna ทั้งเมืองหรอก, ยิ่งตอนนี้เรามี The Font อยู่กับตัว เท่ากับเราถือไพ่เหนือกว่า, และฉันมั่นใจว่าเราจะใช้งานตระกูลอื่นๆ ได้”
The Font… ไพ่ที่เหนือกว่า… บ้าชะมัด… เธอมีชื่อของเธอเองนะ Elspeth อยากจะตะโกนออกมา
“เรารอดจากเรื่องนี้ได้แน่” Jinnie พูดด้วยเสียงราบเรียบ ในขณะที่คนของเธอพันธนาการ Vivien และ Elspeth
ทว่ากลับมีพลังเวทย์มนต์อ่อนๆ เข้ามาล้อมรอบกุญแจมือของ Elspeth, Vivien เองก็ดูเหมือนจะรับรู้มันได้ และเล่นไปตามเกมเช่นกัน
เธอจับตาดูคนของ Cabaretti ที่เก็บอาวุธของเขาไปแล้ว, และเธอรู้ดีว่าตอนนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการอยู่กับ Giada ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“และพวกเราจะนำสมดุลกับสู่ดวงดาวนี้” Jinnie จบประโยคของเธอ
Giada พยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ, Jinnie จับมือของเธอเอาไว้ สายตาของ Giada หันมามอง Elspeth ที่พยักหน้าตอบอย่างช้าๆ
ฉันจะรักษาสัตย์สาบานที่ให้ไว้ Elspeth ทบทวนในใจ, เธอหวังว่า Giada จะเข้าใจมัน, แต่ Giada ก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ตลอดทางที่ Jinnie พาพวกเธอออกจากโกดังร้าง
- นักพยากรณ์ -
ทั้ง Elspeth และ Vivien ทำได้เพียงส่งสายตาที่เป็นกังวลไปมาหากันตลอดทางที่พวก Cabaretti พาพวกเขาผ่านเมือง Mezzio
มันไม่ควรเสี่ยงจะพูดคุยอะไรในตอนนี้, ตอนที่พวก Cabaretti อยู่ใกล้ๆ
พวกเธอควรจะรอจังหวะที่ไปถึงที่หมาย
ที่ๆ พวก Cabaretti เชื่อว่าเป็นที่ปลอดภัยเสียก่อน
กลิ่นของไม้หอม และเปลือกส้มลอยเข้าจมูกของ Elspeth
“Jinnie” Elspeth เรียกเธอ และหยุดเดิน
“เดินต่อไป” หนึ่งใน Cabaretti ดันหลังให้เธอเดินต่อไป, ซึ่ง Elspeth ก็อาศัยจังหวะนั้นเซเข้าไปใกล้ Jinnie ยิ่งกว่าเดิม
“นี่มันที่ซ่อนตัวของตระกูล Obscura ไม่ใช่หรือไง?” Elspeth พูด
“คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง?” Jinnie เลิกคิ้วของเธอขึ้น
“เธอคิดว่าเพื่อนของฉันเป็นใครกันล่ะ?”
หัวใจของ Elspeth สั่นระรัว
“เธอก็อยู่ที่งาน Crescendo ไม่ใช่หรือไง, ทั้ง Maestro, Cabaretti แถมพวก Riveteer… ทุกๆ ตระกูลโดนแทรกซึมไปหมดแล้วนะ, นี่อาจจะเป็นกับดักก็ได้”
“ฉันมีคนที่ไว้ใจได้ ไม่เหมือนแก”
Jinnie เดินไปจนถึงประตูบานหนึ่ง เธอเคาะเป็นจังหวะแบบเดียวกันกับที่ Elspeth เคยเคาะในภารกิจของ Xander
Elspeth ถอยกลับไปหา Vivien ก่อนจะกระซิบกับเธอ
“ระวังตัวด้วย”
Vivien ตอบกลับด้วยการพยักหน้า
Elspeth ไม่มั่นใจในทักษะการมองคนของ Jinnie เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะกับองค์กรที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองอย่าง Obscura…
หรือจะเป็นเรื่องของตัว Elspeth เองที่ Jinnie มองเห็นเธอเป็นแค่คนขี้ประจบประแจงคนหนึ่งเท่านั้น
ประตูเบื้องหน้าเปิดออก เผยให้เห็นหญิงชาว Cephalid (มนุษย์ปลาหมึก) ในชุดสีน้ำเงินเข้มที่ตัดด้ายด้นทอง
เสื้อผ้าของเธอเหมือนกับสาย Obscura ที่ Elspeth เคยส่งสินค้าให้ ทำเอาเธอขนลุกไปหมด
“Kamiz” Jinnie พูดออกมาด้วยความโล่งใจ
“Jetmir เป็นยังไงบ้าง?”
“ยังทรงๆ นะ, เป็นไปตามคาดเลย ฉันเชื่อว่าเธอจะพา The Font กลับมาได้ แต่ตอนนี้รีบๆ เข้ามาข้างในก่อนเถอะ”
“ขอบคุณที่ให้พวกเรามาหลบภัยนะ” Jinnie เดินนำเข้าไป ก่อนที่คนที่เหลือจะตามมา
“พวกนี้เป็นใคร?” Kamiz มองมาที่ Elspeth กับ Vivien
“คนทรยศ-พวกคนที่ลักพาตัว The Font ไป, ฉันพามาให้ Jetmir ตัดสินโทษ” Jinnie ตอบ
พวกเขาเข้ามาที่ส่วนรับรองแคบๆ ที่มีเพียงโต๊ะหนึ่งตัว กับเก้าอี้ไม่กี่ตัว
ที่หลังม่านกั้น ยังมีโต๊ะสี่เหลี่ยมอีกตัว, มันปูด้วยผ้าสีน้ำเงินเข้ม, มีกองไพ่หนึ่งสำรับ และลูกบอลแก้วขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง
Kamiz เดินไปแหวกม่าน เผยให้เห็นประตูลับ ที่พาเข้าไปอีกห้องหนึ่ง, มันกว้างกว่าห้องแรกอย่างเห็นได้ชัด
ที่ผนังประดับไปด้วยชั้นหนังสือมากมาย ที่น่าจะเก็บปูมบันทึกของพวกสายลับจาก Obscura เอาไว้
“พ่อว่าแล้ว ว่าเจ้าต้องทำได้” Jetmir ที่นอนอยู่ที่เตียงเตี้ยๆ พูดขึ้น, ใกล้ๆ กันมีแพทย์จาก Cabaretti ที่ขยับตัวหลบให้ Jinnie ทันทีที่เธอเข้ามา
“คุณพ่อ เป็นยังไงบ้างคะ?”
“คิดมากไปแล้วน่า” นั่นไม่ได้ตอบคำถามของ Jinnie
และแม้จากที่คนละฝั่งห้อง, Elspeth ยังเห็นแววตาของ Jetmir ที่มืดทึม, กลิ่นของเลือดคละคลุ้งอยู่ในอากาศ รวมกับกองผ้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดข้างๆ เตียง…
มันคงต้องอาศัยปาฏิหารย์เพื่อให้เขาผ่านมันไปได้
“Giada มานี่มา” Jinnie โบกมือเรียกเด็กสาว ก่อนจะยื่นหลอดแก้วเล็กๆ หลอดหนึ่งให้
“ช่วยเขาที”
Giada รับหลอดแก้วนั้นมา, เธอหลับตาลง แสงสว่างอ่อนๆ เรืองออกมา, หลอดแก้วถูกเติมเต็มด้วย Halo, ส่วน Giada ก็ยืนโงนเงนจับมือที่ยังถือหลอดแก้วของ Jinnie เอาไว้
แต่แล้ว ประตูลับก็ถูกกระแทกจนมันเปิดออก, คนงานมากมายพุ่งเข้ามาให้ห้อง และความวุ่นวายก็ตามเข้ามาทันที
“พวก Riveteer งั้นเหรอ?” Jinnie แสดงสีหน้าแหยเก ก่อนจะสบถออกมาด้วยไฟแค้น
“Riveteer ไอ้พวกกบฏ”
Vivien อาศัยช่วงเวลานั้น หมุนตัวและเหวี่ยงหมัดที่ยังถูกพันธนาการของเธอเข้าปลายคางของเจ้าหน้าที่ Cabaretti คนที่ยึดธนูของเธอเอาไว้
ร่างของเขาร่วงลงไปกองกับพื้นพร้อมๆ กับธนูคู่ใจ, Vivien คว้ามันขึ้นมา แน่นอนว่าด้วยมือที่ยังติดอยู่ในกุญแจมือนั้น เธอไม่สามารถยิ่งธนูที่มีได้ แต่แค่นี้ก็มากพอที่จะใช้มันฟาดเข้าไปที่ขมับของเจ้าหน้าที่อีกคน
ในขณะที่ Elspeth ก็รวบรวมพลังของเธอ อุณภูมิรอบ ๆ ก็ลดลงจนเกินจุดเยือกแข็งจนทำให้กุญแจมือโลหะแตกสลาย ก่อนจะใช้เวทย์เดียวกันให้ Vivien
และแขนทั้งสองของเธอก็เป็นอิสระอีกครั้ง
“ไม่ยักรู้ว่าเธอทำอะไรแบบนี้ได้” Vivien พูดและโยนเอาดาบให้ Elspeth
Elspeth รับเอาดาบนั้นจากกลางอากาศ “ของบางอย่างก็ต้องเก็บเอาไว้ตอนที่จำเป็นสิ”
“ในที่สุดก็จะได้ร่วมกันสู้แบบเต็มที่จริงๆ นะ” Vivien ขยับธนูของเธอให้เข้าที่ และคว้าเอาลูกธนูออกจากซอง
“ตาม Giada กลับมา, เดี๋ยวฉันเปิดทางให้”
“ขอบคุณนะ” Elspeth พุ่งตรงไปเบื้องหน้า ชักดาบของเธอออกมาพ้องกับแสงสีเขียวที่สว่างขึ้นมา
Giada, Jinnie และ Jetmir ถูกล้อมโดยผู้บุกรุก, แม้ว่า Jinnie จะมีทักษะการต่อสู่ที่ดี แต่ด้วยจำนวนของนักฆ่า Maestro และนักเลง Riveteer มันก็ออกจะตึงมือเกินไปหน่อย
ที่สำคัญ ท่าทีของพวกนั้นดูไม่เหมือนคนที่จะจับตัว Giada ไปแบบเป็นๆ ด้วยซ้ำ มันไม่สนใจว่าเธอจะโดนลูกหลงอะไรหรือเปล่า?
Elspeth ก็ไม่รอให้คำตอบได้รับการเฉลยออกมา
เธอพุ่งเข้าโจมตีนักเลงจาก Riveteer ที่เงื้อค้อนขนาดมหึมา, เพียงดาบเดียว ทั้งค้อนและแขนของมันก็หลุดลงไปกองกับพื้น
ผู้บุกรุกอีกคนพุ่งเข้ามา แต่มันก็ไม่รอดพ้นประสาทสัมผัสที่ว่องไวของ Elspeth, เธอคว้าข้อมือของมัน, บิดข้อมือทำให้มีดสั้นหลุดออกไป
Elspeth เตะมีดนั่นกลับขึ้นมา และคว้ามันจากกลางอากาศ เพื่อปัดป้องการป้องกันจากมีดสั้นอีกเล่ม
ทว่า ผู้บุกรุกคนที่สามก็พุ่งเข้ามา, Elspeth ก้มตัวตัวหลบ และศอกกลับเข้าที่ช่องท้องของมัน ก่อนจะหมุนตัวกลับไปใช้มีดสั้นที่ได้มาส่งคืนให้กับเจ้าของที่ซี่โครงของเขา
การปะทะกันในห้องเล็กๆ นี่แสนจะอึดอัดและวุ่นวาย, ไม่รวมว่าทุกๆ การเคลื่อนไหวของ Elspeth จะต้องคอยจับตามอง Giada เอาไว้
เธอต้องรักษาคำสาบานที่เธอให้ไว้กับสาวน้อยคนนี้
และด้วยความวุ่นวายเหนือคณานับ ความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น…
ในขณะที่ Elspeth ก้มตัวหลบการโจมตีก่อนจะสวนกลับ ค้อนอันเขื่องก็ฟาดเข้ากับซี่โครงของเธอโดยไม่ทันระวัง
อากาศพุ่งออกจากปอด, กระดูกซี่โครงที่แตกร้าว, Elspeth กระอักเลือดออกมา ก่อนที่มีดสั้นอีกเล่มจะพุ่งเข้าปักหัวไหล่ของเธอ… เสียงกรีดร้องของ Giada ดังแว่วมา
ความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกที่คุ้นเคย…
มันคือสัมผัสจากเทพ Erebos…
สัมผัสจากนิ้วผอมแห้งของเขาที่ลูบไล้ไปตามสันหลังของเธอ…
และมันจะเปลี่ยนมันเป็นการบีบคอของเธอเอาไว้จนลมหายใจสุดท้าย
Giada, พี่ขอโทษ… พี่พยายามแล้ว
ภาพรอบๆ เริ่มมืดลง แต่ชายคนที่พึ่งซัดค้อนใส่ Elspeth กลับทรุดตัวลง, ชุดคนงานของเขาเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวเข้มแบบเดียวกับของ Vivien, ร่างใหม่ปรากฏขึ้นหลังจากเสียงของการต่อสู้เบาบางลง
มีคนประคองไหล่ของ Elspeth ขึ้นมา, ดวงตาสีเข้มที่คุ้นเคยมองมาด้วยสายตาเป็นกังวล
“Giada?” Elspeth กระพริบตาหวังให้ภาพที่เห็นชัดเจนขึ้น
“เอานี่ไป” Giada ป้อนอะไรบางอย่างเข้าปากของ Elspeth อย่างไม่มีตัวเลือก เธอจำต้องกลืนมันเข้าไป
ความรู้สึกอุ่นๆ ส่งผ่านออกมาจากในร่างของเธอ, กระดูกที่เคยแตกร้าวก็ขยับกลับเข้าที่ และผสานเข้าหากัน, ดั่งมีมือที่มองไม่เห็นช่วยรักษาบาดแผลที่เคยมี และค่อยๆ พาเธอออกมาจากเงื้อมมือของ Erebos…
โลกที่ Elspeth เคยเห็นมันไม่เคยชัดเจนและสดใสขนาดนี้มาก่อนและ-
“Giada” Elspeth แตะไปที่แก้มของสาวน้อย
“เธอ… เธอเรืองแสง”
Giada อ้าปากด้วยความตกตะลึง
“พี่เห็นมันด้วยเหรอ?” เธอกระซิบถาม
“ฉ- ฉัน” Elspeth ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อเกี่ยวกับรัศมีที่เรืองแสงออกมา
“ทางนี้!” Kamiz ตะโกนขึ้นมา
Jinnie คว้าตัว Giada ไป
“ไม่ต้องสนใจพวกที่เหลือ เราต้องหนีกันก่อน”
“เดี๋ยวสิ” Elspeth ลุกขึ้นนั่งได้อีกครั้ง, Halo วิ่งพลุ่งพล่านไปทั่วร่างของเธอ มันกลับทำให้เธอแข็งแกร่งอีกครั้ง
“เราจะไปด้วย”
“แกคิดว-” น้ำเสียงหงุดหงิดของ Jinnie ถูกขัดจังหวะจากการโจมตีที่เธอหลบมันไปได้, และมันเปลี่ยนไปเป็นคำสบถ ในขณะที่ตาของเธอยังจ้องมาที่ Elspeth และคนของ Cabaretti ที่พึ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อครู่
“เออ, ทิ้งแกไว้ก็เสียของ, รีบๆ ตามมา และอย่าทำอะไรโง่ๆ ล่ะ”
Kamiz วิ่งนำพวกเขาไปในตรอกด้านหลัง, ทั้ง Riveteer และ Maestro ยังคงไล่ล่าพวกเขาอย่างไม่หยุดหย่อน โดย Elspeth และ Vivien ช่วยปิดท้ายขบวนไม่ให้พวกมันตามมาได้มากไปกว่านี้
“น่าจะสลัดพวกมันได้แล้วนะ” Jinnie ถอนใจออกมา
“เข้าไปตรงนี้” Kamiz เปิดประตูให้พวกเขาพุ่งเข้าไปยังความมืดมิด
“นี่เป็นอุโมงค์ลับของ Obscura,” เธอพูดในขณะที่เดินไปข้างหน้า “มันช่วยให้พวกเราไปไหนมาไหนได้โดยไม่โดนจับได้”
“แล้วรู้ได้ไงว่ามันยังไม่โดนล้วงข้อมูล?” Vivien แย่งคำถามในใจของ Elspeth
“ฉันไม่รู้” Kamiz ตอบไปตามตรง
“ฉันเลยบอกให้พวกเรารีบไปไงล่ะ”
“ว่าแต่…พวกเรากำลังจะไปไหน?” Jinnie ถาม
“Park Heights, ที่ตั้งมั่นของ Obscura… The Cloud Spire, ถ้าที่นั่นไม่ปลอดภัย เราก็ไม่เหลือที่ไหนให้ไปแล้ว”
- ณ มหาวิหารแห่ง Park Heights -
คณะเดินทางของ Kamiz ยังคงมุ่งหน้าไปยัง Park Heights, Elspeth คว้ามือของ Giada มาบีบเบาๆ ก่อนจะขยับปากว่า ขอบคุณมากนะที่ช่วยฉัน
และหวังว่าแสงสีฟ้าที่ช่วยนำทางในอุโมงค์ลับจะมากพอให้ Giada มองเห็น และเข้าใจมัน
ซึ่ง Giada ก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพยักหน้า และทั้งคู่ก็ปล่อยมือกันไป
Giada ก้มลงมองข้อมือของเธอ, เธอค่อยๆ ปลดปลอกข้อมือของตัวเองออก สายตาก็จับจ้องไปที่ Jinnie อย่างระมัดระวัง, เธอทิ้งมันลงกับพื้น และชี้ให้ Elspeth มอง พร้อมกับขยับปาก เวทย์ติดตาม
Elspeth เหยียบกำไลข้อมือนั่นให้จมไปกับพื้น, มันเป็นสิ่งที่ทั้ง Giada และ Elspeth สงสัยมาตลอด ว่าเหตุใด Jinnie ถึงได้ตามรอยทั้งคู่ได้ง่ายนัก
แต่อีกใจหนึ่ง Elspeth กลับรู้สึกภาคภูมิใจ…
Giada เป็นคนฉลาด, เธอเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น, เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ
การปลดปลอกกำไลของเธอเป็นสิ่งที่ยิ่งยืนยันว่า Giada ต้องการร่วมทางไปกับ Elspeth…
และถ้าโอกาสนั้นมาถึง Elspeth จะไม่ปล่อยให้มันหลุดลอยไป
และแล้ว… อุโมงค์ก็พามาถึงทางตัน
Kamiz เลื่อนประตูลับออก, กลิ่นดินของ Park Heights โชยเข้ามาต้อนรับพวกเขา
Elspeth กระพริบตารับแสงยามบ่ายที่ส่องขับไล่ความมืดมิดของ New Capenna
“ไม่ไกลจากนี่แล้ว” Kamiz พูดออกมา ในขณะที่ผ่านพุ่มไม้ที่ผ่านการตัดแต่งอย่างสวยงาม
“แค่พ้นโค้งนี่ไป”
Vivien หยุดเดิน เช่นเดียวกับ Elspeth ที่ได้ยินเสียงฝีเท้า และเสียงอาวุธ
“อย่า, นั่นมันเป็นกับด-”
Giada และ Jinnie เลี้ยวลับเข้ามุมโค้งไปแล้ว
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?” Jinnie ตะโกนออกมา
Vivien ขึ้นลำธนูของเธอ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของ Obscura มากมายเข้าล้อมพวกเขาจากด้านหลัง
Elspeth ไว้ใจให้ Vivien ดูหลังให้ เพราะเธอต้องมุ่งความสนใจไปที่การปกป้อง Giada อีกครั้ง
เมื่อไปถึง, Jinnie กำลังปะทะกับพวก Obscura ที่เหลือ, ส่วน Kamiz นั่นก็นอนจมกองเลือด ที่มาจากการระบายความโมโหของ Jinnie
เรื่องทั้งหมดนี่มันเป็นแค่การจัดฉาก, พวก Obscura นั้นก็ถูกล้วงลูกไม่ต่างจากตระกูลอื่นๆ
การปะทะกันที่จุดหลบภัยของพวกเขามันเป็นแค่ข้ออ้างในการแยกตัว Jinnie กับ Giada ออกมาเท่านั้น, แต่ที่ Kamiz คาดไม่ถึงคือการติดสอยห้อยตามมาโดย Elspeth และ Vivien
“ออกไปจากที่นี่กัน” Elspeth คว้าแขนของ Giada
“แต่ Jinni-”
“เธอเลือกเส้นทางของเธอแล้ว” Elspeth ทำท่าจะอุ้ม Giada
“ถ้าเราไม่หนีไปตอนนีั เราได้ตายแน่”
Giada ไม่พูดอะไร และตาม Elspeth ไป
Vivien ยังคงประคองหลังให้พวกเขา ในขณะที่ทั้งสามหลบหนีไปในสวนสาธารณะจำลองของ Park Heights, กิ่งไม้ขีดข่วนขัดขวางหน้า และแขนขาของพวกเธอ
ขอให้มีซักที่หนึ่ง ที่ที่ทุกคนจะปลอดภัยในเมืองนี้
Elspeth บ่นพึมพัมในใจของเธอ ก่อนที่ทั้งหมดจะสิ้นสุดเส้นทางที่มหาวิหารแห่งหนึ่ง
“ในนี้แหละ” Elspeth ตัดสินใจพุ่งเข้าไปในห้องโถง, เสียงสะท้อนของฝีเท้าทำให้เธอเดินช้าลง
มหาวิหารแห่งนี้คืองานศิลป์ระดับเอกอุ รูปปั้นของนางฟ้าจำนวนนับไปถ้วน เรียงรายตลอดคานเสา
มือของพวกเธอชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้าช่วยขับภาพของแสงและเงาที่ลอดมาจากหลังคาวิหาร
Elspeth กระพริบตารัวๆ, เธอไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงแสงที่ลวงตา หรือบรรดารูปปั้นนางฟ้าเหล่านี้เรืองแสงออกมาจริงๆ…
เปล่งแสงเหมือนกับ Giada, เหมือนกั-
Elspeth ก้มลงมองมือตัวเอง, เธอไม่รู้ตัวมาก่อน จริงอยู่ มันอาจจะไม่เปล่งประกายเหมือนๆ กับสิ่งรอบๆ ตัว…
แต่เธอก็เปล่งประกายสีทองอ่อนๆ ออกมา
“พี่ได้ยินมันไหม?” Giada กระซิบ
“ได้ยิน”
เสียงสอดประสานจากรูปปั้นนางฟ้าแต่ละตน, มันพ้องกังวาลส่งต่อกัน และเติมเต็มมหาวิหารนี้ด้วยบทสวดที่ไร้คำพูดใดๆ
มันมีแค่เสียงที่ช่วยขจัดความยุ่งเหยิง และความเจ็บปวด
มันล้ำลึกเสียจนทำให้น้ำตาของ Elspeth เอ่อล้น
เสียงสูงๆ ที่ไม่เป็นภาษาแต่กลับช่วยเติมความหวังในช่วงเวลาเช่นนี้
มันคือความอบอุ่นที่เติมเต็ม, มันคือความดีงามที่ตามหา, มันคือ…
“มันคืออะไร?” Elspeth กระซิบถาม
“ครอบครัวของหนู… บ้านของหนู” Giada ตอบด้วยความเคารพ… ราวกับมันเป็นความจริงที่เธอพึ่งได้รับรู้
และแล้ว คำว่า “บ้าน” ก็มีความหมายอีกครั้ง
Elspeth มองตา Giada, สาวน้อยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแสนเป็นปริศนา, ร่างของเธอเปล่งประกายเหมือนกับรูปปั้นนางฟ้าตนอื่นๆ…
และนี่คงเป็นที่ของเธอ, ที่ที่ชิ้นส่วนที่ขาดหายไปได้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
“บ้าน” Elspeth พูดทวนคำนั้น… บ้านคือการปกป้องคนที่ต้องการเธอ…
Ajani พูดถูกมาตลอด
บ้านไม่ใช่สถานที่…
และนี่เป็นครั้งแรกที่ Elspeth เข้าใจ และรับรู้ได้ถึงการอยู่ในที่ที่เธอควรจะอยู่…
ที่ที่เป็นของเธอ…
ที่ที่เธอได้พบเป้าหมาย ได้พบใครซักคนที่เธอเชื่อใจ และพร้อมจะปกป้อง
เสียงสั่นสะเทือนทุ้มต่ำดังไปทั่วมหาวิหาร ขัดจังหวะเสียงเพลงของนางฟ้า, ตามมาด้วยเสียงเหยียบย่ำที่ดังกังวาล
Elspeth หันหลังกลับไปพบกับร่างขนาดใหญ่… ชายเขาโง้ง และปีกค้างคาวปีศาจที่ฉาบด้วยสีของเลือดอยู่ด้านหลังมัน
Adversary
“หลบมาข้างหลังพี่” Elspeth ชักดาบของเธอออกมา
“คิดว่าจะหนีข้าพ้นรึไง?”
“ออกมาเองได้ก็ดี เจ้า Ob Nixilis” Vivien ไม่รีรออะไร เธอยิงลูกศรเข้าสู่เป้าหมายทันที
ทว่า เพียงแค่หมัดลุ่นๆ ที่ต่อยเข้าหน้าหมาป่าเวทย์มนต์ก็ทำให้มันสลายไปทันที, ลูกธนูของ Vivien อีกสองดอกพุ่งไปหาลิ่วล้อของ Ob Nixilis ด้านหลัง
“จัดการมันเลย, ที่เหลือฉันเล่นเอง, ระวังตัวด้วย มันเป็นเหมือนพวกเรา” Vivien ตะโกน Planeswalker คือสิ่งที่เธอหมายถึง
Elspeth กระชับดาบในมือให้มั่น
“วิ่งไปซะ” Ob Nixilis คำรามใส่ Vivien ในตอนที่เธอวิ่งผ่านมันไป
“ไปเล่นกับพวกของข้าให้หนำใจ, ก่อนที่ข้าจะทรมานเจ้าจนเกินจินตนาการ”
ในตอนนี้ Ob Nixilis พุ่งเป้ามาที่ทั้ง Elspeth และ Giada แล้ว,
รอยยิ้มชวนสยองที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจในตัวเอง…
ความมั่นใจที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง
“คิดว่าเอาอยู่หรือไงหะ? ข้าจะแสดงให้แกเห็นเอง ว่าไอ้อีคนไหนที่มันขัดขืนข้าจะเป็นยังไง - ใครที่มันกล้าจะขวางทางของข้า, ถ้า The Font เป็นของข้าเมื่อไหร่ ข้าจะสังหารพวกแกทีละตัวแบบช้าๆ”
Elspeth รับรู้ถึงพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของ Ob Nixilis
“Giada, ถ้าอะไรผิดพลาดแล้วล่ะก็… หนีไป… หนีไปก่อนที่ฉันจะล้มลง” Elspeth กระซิบ
“ฉันจะยื้อมันไว้ให้นานที่สุด, แต่เธอต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเช่นกัน”
Ob Nixilis พุ่งเข้าหา Elspeth ด้วยความเร็วเกินกว่าที่เธอประเมินไว้มากนัก, ร่างกายอันใหญ่โตของมันไม่ได้ทำให้มันช้าลงเลยแม้แต่น้อย, และปีกของมันก็ช่วยรักษาสมดุลให้การพุ่งโจมตีครั้งนี้
“ข้าจะซัดแกให้มันส์สุดๆ ไปเลย!”
Elspeth ถูกบีบให้ต้องป้องกันทุกๆ การโจมตีของ Ob Nixilis, สิ่งเดียวที่เธอพอจะทำได้คือต้องให้มันเหนื่อยเอง, เพราะ Ob Nixilis มีทั้งพลัง และความเร็วที่เหนือกว่าเธอ
ทุกครั้งที่มีโอกาส, Elspeth จะสวนกลับทั้งแทงและฟัน
ทว่า มันก็เป็นได้แค่การโจมตีถากๆ ที่ทำได้เพียงเสริมความน่ารำคาญและหงุดหงิดให้เป้าหมายเท่านั้น
มันไม่เพียงพอให้ Ob Nixilis ช้าลงแม้แต่น้อย
แถมดาบที่เธอมีก็ทั้งใหญ่และเทอะทะมากกว่าที่จะกวัดแกว่งมันได้อย่างใจ, มันทำให้เธอต้องรอจังหวะมากกว่าปกติ
และรอยขีดข่วนนั้นก็มากพอที่จะทำให้ความอดทนของ Ob Nixilis หมดลง
มันระเบิดพลังออกมารอบๆ ตัว, ทำให้ Elspeth กระเด็นออกไป
หัวของเธอกระแทกเข้ากับหิน และมันก็ทำให้ทุกๆ อย่างหมุนอย่างไร้ทิศทาง
ความวิงเวียนที่ตามมาทำให้เธอแทบอ้วก
“Giada” เสียงแผ่วๆ ของ Elspeth ออกจากคอของเธอ, เธอพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่มันยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายไปมากกว่าเดิม
“หนีไป”
“ไม่, มันไม่มีที่ไหนให้หนูหนีอีกต่อไปแล้ว” Giada ลอยขึ้นจากพื้น, แสงเรืองๆ ที่เธอมียิ่ง สว่างแจ่มชัดมากกว่าเดิม
เสียงฝีเท้าของ Ob Nixilis ที่ก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ประกอบกับเสียงหัวเราะอันแสนชั่วร้ายของมันทำเอา Elspeth หวาดหวั่น
“แกจะเป็นเหยื่อรายแรก, แล้วก็ The Font ก่อนจะเป็นยาย Planeswalker อีกตัว… จะไม่มีอะไรหยุดข้าคนนี้ได้อีกแล้ว”
“หนีไป” Elspeth พูดด้วยแรงทั้งหมดที่เธอมี, ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา… เธอสาบานว่าจะปกป้อง Giada, เธอได้พบเป้าประสงค์ของชีวิตแล้วแท้ๆ แต่มันก็จบลงที่ความล้มเหลว
“อย่ากลัวแทนหนูอีกเลย, พี่ Elspeth… ยังมีเพื่อนๆ ของหนูอีกมากมาย-หนูอยู่กับครอบครัวของหนูแล้ว” Giada ลอยมา เธอคุกเข่าลงข้างๆ Elspeth, แต่ร่างของ Giada เป็นเหมือนแต่รูปร่างของกลุ่มก้อนเวทย์มนต์เสียมากกว่า
ครอบครัว… สิ่งที่ Eslpeth รู้จักผ่าน Ajani และ Daxos… คำพูดของ Giada จุดพลังบางอย่างในตัวเธออีกครั้ง, อาจจะเป็นเปลวเทียนที่ใกล้ดับลงเมื่อนานมาแล้ว…
เสียงฝีเท้าของ Ob Nixilis เข้ามาใกล้ขึ้น
“แกคิดว่าแกจะทำอะไร?”
Giada ไม่ได้สนใจเสียงนั้น, เธอมองไปที่ Elspeth เพียงคนเดียว
“ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่ผ่านมา, หนูเจอคำตอบของหนูแล้ว… ให้หนูปกป้องพี่นะ” Giada แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ภาพของเธอในตอนนี้ราวกับรูปปั้นนางฟ้ามากมายที่ประดับอยู่ในมหาวิหาร
“ฉันพร้อมแล้ว” Giada กระซิบกับใครซักคนที่ไม่มีใครมองเห็น
แสงสว่างสาดส่องเข้าเติมเต็มทุกอณูของวิหาร. มันเปล่งประกายออกมาจากร่างของ Giada, มันเจิดจ้าและระเบิดพลังจนส่งให้ Ob Nixilis กระเด็นออกไป
แต่กับ Elspeth นั้น มันไม่มีผลอะไรเลย นอกจากทำให้เธอตกตะลึงที่ร่างของ Giada ค่อยๆ กลายเป็นเวทย์ที่เหมือนกับ Halo
Elspeth หายใจเข้าเต็มปอด, เวทย์นั้นห่อหุ้มร่างเธอราวกับชุดเกราะ, และซึมซับเข้าไปในกระดูก
เสียงเพลงกลับมากลายเป็นเสียงสอดประสาน
ทุกๆ ท่วงทำนองของมันเสริมกันเป็นบทกวีที่สมบูรณ์แบบ
เสียงมันดังกังวาลเป็นบทกลอนของความสนาน
ราวกับมันเป็นบทเพลงที่จะกลบชื่อเทศกาล
Crescendo (ดังกังวาล) ของพวก Cabaretti ที่แอบอ้างเอาชื่อไปใช้
แสงสว่างเมื่อครู่ค่อยๆ จางลง, Elspeth ลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว, ส่วน Ob Nixilis นั้นกลับกลายเป็นฝ่ายที่ครางด้วยความเจ็บปวดและยังนอนอยู่กับพื้นแทน
Vivien และคนอื่นๆ ที่ปะทะกันเมื่อครู่ก็นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ราวกับการกำเนิดของ Giada จะทำให้ทั้ง New Capenna ตกตะลึง
Elspeth เสียงของ Giada กระซิบจากที่ที่ไกลออกไป มันแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์เมื่อมันสอดผสานกับเสียงเพลงของนางฟ้า
กระนั้น Giada ก็ไม่ได้อยู่คนเดียว, ข้างๆ ร่างเวทย์มนต์ของเธอปรากฏร่างอื่นๆ อีกมากมาย
จบเรื่องนี้ซะ, ปกป้อง New Capenna, เจ้ามีอาวุธที่เจ้าต้องการแล้ว… มันอยู่กับเจ้ามาโดยตลอด มันแค่รอเวลาที่เจ้าพร้อม
ฉันไม่แข็งแกร่งพอหรอก
เจ้าแข็งแกร่ง Giada ตอบกลับ
ความผิดพลาดในอดีตไม่ใช่สิ่งที่ใช้ตัดสินเจ้า, อย่าพึ่งยอมแพ้, นี่ยังไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เจ้าจะเป็นได้เลย ลุกขึ้นสู้ซะ!
Elspeth ได้ยินเสียงของ Ajani สอดประสานกับคำพูดของ Giada, สหายของเธอกำลังพูดกับเธอ… ข้ามผ่านห้วงเวลาและสถานที่, Elspeth หลับตาลง และถอนใจเบาๆ
บ้านคือหน้าที่
ครอบครัวคือสิ่งที่เราเลือกจะปกป้อง
และเพียงเท่านั้น เราก็มีทุกอย่างที่เราต้องการ
Elspeth ลืมตาของเธอและลุกขึ้นยืน เธอสะบัดดาบในมือของเธอที่มันเปลี่ยนจากดาบยักษ์อันเทอะทะไปเป็นดาบ ที่ทั้งความยาวและน้ำหนักสมบูรณ์แบบสำหรับเธอ
แท่นกันดาบของมันไม่ได้ทำจากโลหะ แต่กลับเป็นบอลที่เก็บ Halo เอาไว้, มันเปลี่ยนแสงสีตลอดเวลา
ร่องรีดเลือดของดาบ ถูกเติมเต็มด้วย Halo ตลอดความยาว, มันส่องประกายอ่อนๆ แบบเดียวกับที่ Giada เคย
Elspeth ยกดาบขึ้นมา เธอรับรู้ได้ทันที, ไม่ว่าที่ใด หรือเวลาใดก็ตาม, Giada จะภูมิใจและอิ่มเอมที่ Elspeth จะรักษาสัตย์สาบานของเธอเอาไว้ได้
Elspeth จะเป็นผู้ปกป้อง New Capenna
Elspeth พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง, ด้วยดาบเล่มใหม่ในมือ, Ob Nixilis เกือบจะหลบการโจมตีนั้นไม่พ้น
แต่มันเองก็ไม่ใช่ปีศาจที่จะยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ, มันอาศัยจังหวะนั้น โจมตีด้วยเวทย์สังหารกลับมา ทว่ามันก็พลาดเป้า
ด้วย Halo และเป้าหมายที่ชัดเจน, ด้วยดาบที่เป็นของขวัญจาก Giada, Elspeth สามารถต่อกรกับจอมปีศาจ Adversary ได้
การโจมตีของเธอนั้นเต็มไปด้วยความแม่นยำจากทั้งทักษะความมุ่งหมาย
Elspeth รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นตัวเองอีกครั้ง, ไม่สิ เธอกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าที่เคย
คนที่เธอไม่เคยคิดว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้
แต่กับ Ob Nixilis มันหงุดหงิดทุกครั้งที่ถูกโจมตี, ครั้งแล้วครั้งเล่า, เสียงคำราม และการฉากหลบ ไม่มีอะไรที่จะพลิกสถานการณ์ได้เลย
มันตัดสินใจหมายโจมตีกลับ ทว่า Elspeth กลับพุ่งเข้าประชิด ส่งดาบเข้าที่ปลายคางของมัน
แม้มันจะมองเห็นการโจมตีนั้น แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว, โลหะที่คมกริบตัดเข้าคอของมัน
Ob Nixilis คว้าคอของตัวเองเอาไว้ มันยิ่งบีบให้ปากแผลเปิดกว้างไปกว่าเดิม
เลือดทะลักออกมาจากร่องนิ้วของมัน ในขณะที่มันเองพยายามจะหยุดการไหลของเลือด
Elspeth ถอยออกมา…
และถ้าเธอกลับเข้าโจมตีอีกครั้ง, ตัดผ่านนิ้วที่กดห้ามเลือดเอาไว้ ก็คงเป็นอันจบงาน
แต่ในจังหวะเดียวกันนั้น, เจ้าปีศาจก็ถอยกลับ
อากาศรอบๆ ตัวบิดเบี้ยว ก่อนที่มันจะปิดตัวลงและร่างของ Ob Nixilis ก็ Planeswalk หายไป
Elspeth มองไปที่พื้นที่อันว่างเปล่า, เธอสบถออกมาก่อนที่เสียงครางด้วยความเจ็บปวดจะดึงเธอกลับมาสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง Vivien
Elspeth วิ่งกลับไปที่ทางเข้าวิหาร และช่วยพยุงเพื่อนของเธอขึ้นมา, Vivien นวดขมับของเธออยู่
“มันเกิดอะไรขึ้น?”
“Giada ช่วยพวกเราไว้, แต่ Ob Nixilis หนีไปได้… เรื่องนี้มันยังไม่จบ”
- บทส่งท้าย - ณ พิพิธภัณฑ์ ของ Maestro -
Elspeth และ Vivien เดินกลับขึ้นบันไดของพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง, ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาขี้เถ้ามันจะถูกทำความสะอาดไปแล้ว แต่ก็ยังหลงเหลือรอยไหม้จากเวทย์มนต์อยู่
กระนั้น พวก Maestro ก็ทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้พิพิธภัณฑ์ของพวกเขากลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว
“ข้ากำลังรออยู่เลย” Anhelo แยกตัวออกมาจากสมาชิกรุ่นใหม่ และเห็นได้ชัดว่านี่กลายเป็นครอบครัวที่ขนาดเล็กลง
“รอฉันเหรอ?” Elspeth ถาม, มือของเธอวางพักไว้ที่ปลายดาบ Halo ที่คล้องเอวของเธอเอาไว้
เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อหวังการต่อสู้อะไรเพิ่มเติม แต่เธอก็ไม่ยอมกลับไปมือเปล่าโดยไม่ได้เข้าถึงหอจดหมายเหตุของ Xander
“ใช่แล้ว, ข้าเจอสิ่งนี้ถูกเย็บติดกับเสื้อโค้ทของข้าในคืนงาน Crescendo, ทันทีที่ข้าอ่านมัน ข้าก็รีบกลับมาที่นี่ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว… แต่มันก็ช่วยให้ข้ารอดจากเหตุนองเลือดที่ Vantoleone” Anhelo นำเอาจดหมายออกมาจากกระเป๋าของเขา, มันมีสัญลักษณ์ของ Xander อยู่
Elspeth รับมาและแกะอ่านเนื้อหาภายใน:
Anhelo
ขอขอบใจสำหรับการรับใช้อย่างซื่อสัตย์ของเจ้า, เจ้าเป็นคนดีพอๆ กับฝีมือในการเป็นนักลอบสังหาร, แต่เพื่อนเอ๋ย, ข้าเกรงว่านี้คือจุดที่เราต้องจากลา
ตระกูล Maestro จะอยู่ใต้การดูแลของเจ้า, ข้าเชื่อใจ และข้ามองเห็นมานานมากแล้ว, ข้าเชื่อว่าเจ้าจะพาพวกเราไปสู่ยุคใหม่ได้
ทุกๆ งานศิลป์ที่ข้าเก็บสะสมมา จะช่วยเจ้าได้หลายๆ อย่าง
ข้าอยากให้เจ้าดูแลครอบครัวของเราตามที่เจ้าเห็นสมควร เพราะมันคงถึงเวลาที่จะส่งให้คนรุ่นใหม่ได้ขึ้นมาเปลี่ยนมุมมองของ Maestro บ้างแล้ว
สุดท้ายนี้, ไม่ว่าเธอจะรอดจากคืนนี้ไปหรือไม่, ซึ่งข้ามั่นใจว่าเธอจะทำได้, Elspeth จะกลับมาที่หอจดหมายเหตุลับของข้า
ข้าอนุญาตให้เธอเข้าถึงทุกๆ สิ่ง และเจ้าก็ไม่ต้องถามอะไรให้มากความ
จดหมายสุดท้าย
จาก
Xander
“เขารู้ว่าฉันจะมา” Elspeth พูดพลางมองจดหมายนั่นวนไปมา ก่อนจะส่งกลับให้ Anhelo
“ท่าน Xander รู้เสมอว่าอะไรจะเกิดขึ้นใน New Capenna, และมักจะรู้ก่อนทุกๆ คน” Anhelo ผายมือเชิญ Elspeth
“เชิญทางนี้”
เธอเดินตาม Anhelo ผ่านพิพิธภัณฑ์ และห้องทำงานของ Xander, เขาดึงเอาผ้าม่านที่ผลายห้องลง มันเผยให้เห็นประตูลับอีกบาน ก่อนที่เขาจะปลดล็อกมัน และยักหน้าให้ทั้งคู่เข้าไป
“ทุกอย่างในหอจดหมายเหตุแห่งนี้ คือของเจ้า, กลับมาได้ทุกครั้งที่เจ้าต้องการ” Anhelo พูดก่อนจะจากไป
หน้าหนังสือทุกหน้า, รูปสลัก และภาพงานศิลป์ทุกงาน ได้ผ่านสายตาของ Elspeth, มันกินเวลาอยู่หลายวัน และ Anhelo ก็ใจกว้างพอที่จะส่งทั้งอาหารมื้อเที่ยง รวมถึงมื้อเย็นให้กับพวกเธอ
ประวัติศาสตร์ของ Capenna นั้นถูกเก็บไว้ในปูมบันทึกของ Xander:
ในกาลก่อน เหล่า Phyrexian ได้มาถึงดาวดวงนี้, แรกเริ่ม เหล่านางฟ้าพยายามจะหยุดยั้งการรุกราน
ทว่า ภัยร้ายของพวก Phyrexian นั้นเกินกำลังของเหล่านางฟ้า, พวกเธอจึงจำต้องผูกพันธมิตรกับจอมปีศาจเพื่อปะทะกับพวก Phyrexian
แม้การร่วมมือของทั้งสองฝ่ายจะลดความเกลียดชังระหว่างกัน, แต่ความเป็นอริก็ยังคงอยู่
เหล่าปีศาจได้หักหลังพวกนางฟ้าด้วยการจับพวกเธอไปขังไว้ในเครื่องมือบางอย่าง…
มันทำให้พวกเธอเสมือนอยู่ในภาวะจำศีลตลอดกาล และพวกปีศาจก็จะสกัดร่างของพวกเธอไปเป็น Halo
สสารที่ Xander เคยบอกเธอว่า… มันช่วยปกป้องเมืองนี้ไว้…
จริงอยู่ว่ามันดูยุ่งเหยิง แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นทางออกให้กับปัญหา Phyrexian
เมื่อพวกจอมปีศาจใช้ Halo ที่สกัดมา จัดการกับพวก Phyrexian
ก่อนที่ตัวเองจะหลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
Halo เป็นกุญแจสำคัญมาตลอด, ถ้ามันช่วยสกัดกั้นพวก Phyrexian ได้…
มันก็คือคำตอบของสิ่งที่ Ajani ตามหา
แม้ว่ามันอาจจะเป็นทรัพยากรที่หายาก, แต่จากคลังลับของ Xander มันก็น่าจะมีมากพอจะใช้ในยามจำเป็น…
และสำหรับ Elspeth นี่คือคราวจำเป็น, เธอจะนำข้อมูลทั้งหมดนี้กลับไปให้ Ajani และ Gatewatch
Elspeth และ Vivien มองทอดยาวผ่านหน้าต่าง ชมทิวทัศน์ของเมืองในจุดที่ Xander เคยใช้มัน…
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรต่อกันนานนับชั่วโมง, ความเงียบงันนั้นแทนที่ด้วยความสัมพันธ์และข้อมูล
“ยังไง New Capenna ก็จะทะเลาะกันเพื่อ Halo” Elspeth พูดออกมา
“คลังที่มีก็ใกล้จะหมด… และถ้ามันหมดลงจริงๆ เมืองนี้คงล่มสลายเป็นแน่”
ใจของ Elspeth ลอยนึกถึง Giada, สาวน้อยที่จากลาด้วยร่างที่อัดแน่นไปด้วยพลังเวมย์มนต์… มันจะเป็นอย่างไร? ถ้าหากเหล่านางฟ้าสามารถฟื้นคืนกลับมาที่ New Capenna
และนำพาคนรุ่นใหม่เข้าสู่ยุคใหม่ที่จำเป็นเหลือเกินในโมงยามนี้ หรือเหล่านางฟ้าเลือกที่จะหายไปเพื่อบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า?
“มันเรื่องของดาวดวงนี้มากกว่าเมืองๆ นี้เสียอีก… ถ้า New Capenna จะทำลายตัวเองจากความโลภไร้ที่สิ้นสุด, ธรรมชาติก็จะทวงคืนสิทธิ์ของพวกมัน… ชีวิตจะยังคงดำเนินไปในดาวดวงนี้” คำพูดที่แสนเย็นชาของ Vivien อาจจะดูใจร้าย แต่มันก็เป็นเรื่องจริง
บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เมืองนี้จำต้องล่มสลาย
“แต่ถึงอย่างนั้น, ฉันก็ทิ้งพวกเขาไปไม่ได้จริงๆ"
“แต่คุณก็ไม่สามารถปกป้องที่นี่ได้ ถ้าคุณไม่ไปจากมัน… พวก Phyrexian นั้นเป็นภัยกับทุกๆ คน”
“ฉันรู้” Elspeth ตอบ
“แต่ตอนนี้ เราสามารถต่อกรกับพวกมัน” Vivien พูด และยักหน้าไปที่ดาบ Halo กับหีบเก็บ Halo ของ Xander
“และถ้า Urabrask พูดความจริงแล้วล่ะก็…”
“เขาบอกอะไรกับเธอ?”
Vivien กอดอก
“การปฏิวัติ” เธอขมวดคิ้วจัดสรรความคิดในหัว
“ที่ New Phyrexia, นั่นน่าจะเปิดโอกาสให้เราหยุดยั้งพวกมัน”
หยุดเธอ หยุดภัยร้ายของ Grand Cenobite -การคุมขังและใจกลาง Phyrexia-
มันยังวนเวียนอยู่ในความทรงจำของ Elspeth…
การจาก New Capenna ไป หมายความว่าเธอจะเดินเข้าสู่นรกแห่งโลกโลหะอีกครั้ง
Koth, Melira, Karn…
กลับไปพบกับฝันร้ายเดิมๆ อีกครั้ง…
สู่การปะทะกันอีกครั้ง…
สู่สงครามอีกครั้ง
แล้วเธอจะแข็งแกร่งพอสำหรับศึกนี้หรือไม่? เธอมีตัวเลือกอื่นใดอีกไหม? แล้วคนอื่นๆ ล่ะ?
สิ่งเดียวที่ Elspeth ต้องการคือการหยุดพัก… แต่เธอจะถอยจากสงครามในภาวะเช่นนี้ได้อย่างไร?
เธอต้องกลับไป Dominaria ไปบอกเรื่องทั้งหมดที่เธอรู้ให้ Ajani ฟัง, เอา Halo ให้เขาดู และเตรียมตัวของเธอให้พร้อม
ยังเหลือเรื่องที่ต้องทำอีกมาก Elspeth พยักหน้า, ความมุ่งมั่นของเธอพุ่งพล่านเหมือนกับ Halo ที่หมุนวนอยู่ในดาบของเธอ
ถ้าเธอมีเป้าหมาย และผู้คนที่ต้องปกป้อง, เธอจะพบกับบ้านของเธอในการเดินทางครั้งนั้น…
และนั้นคือส่วนที่ดีที่สุดในการเดินทางที่รออยู่
“งั้นเราไปกันเถอะ” Elspeth พูดขึ้น
“ไปไหน?”
Elspeth ยิ้มออกมา, เธอดีใจที่ Vivien พร้อมจะออกเดินทางไปกับเธอ, และถ้าสงครามกำลังจะมาถึง การมีสหายที่แข็งแกร่งถือเป็นข้อดี
“Dominaria” Elspeth หันหลังให้กับทิวทัศน์สุดท้ายของ New Capenna
“ถึงเวลาไปพบกับเพื่อนเก่าแล้ว”
Magic Story By Elise Kova